Monday 21 December 2009

เรื่องสุดท้าย(ของปี)..ร้ายสุด




วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มขยับนิ้วเขียนเรื่องราวต่างๆ ทั้งในสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ ทั้งจากเรื่องของไวน์มาถึงเรื่องธุรกิจ วันนี้ครบหนึ่งปีพอดีครับ ต้องขอขอบคุณเพื่อนนักอ่านที่อีเมล์ส่งข้อความต่างๆเข้ามาให้กำลังใจอยู่เรื่อยๆ เนื่องในโอกาสแบบนี้ ผมอยากเขียนเรื่องดีดี ของคนดีดีและเก่งอีกสักเรื่อง เป็นคนเก่งที่นิตยสาร Fortune ยกให้เป็น CEO of the Decade หรือ ซีอีโอแห่งทศวรรษ คนๆนั้นหลายท่านรู้จักกันดี

“Steve Jobs” แห่ง “Apple” ครับ

Steve Jobs ในฐานะเป็นนักบริหารต้องเรียกว่าเก่งและอึดเหลือเชื่อ โดนไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือยังอดทน รอเวลาพิสูจน์ตัวเองเป็นสิบปี เพื่อให้คนที่เขาไล่ออกกลับมาเชิญกลับเข้าไปทำงานได้ แถมยังทำให้หุ้นของบริษัทโตแบบก้าวกระโดดแบบคนอื่นไม่อยากจะไล่ให้ทันทุกครั้ง

Steve Jobs ในฐานะนักออกแบบต้องใช้คำว่ามันส์เหลือหลาย product ทุกตัวเขาสามารถทำให้เป็น talk of the town เครื่อง G4 Cube ที่สวยและเก่ง จน MoMa (Museum of Modern Arts) ยังต้องอันเชิญเอามาไว้ในพิพิธภัณฑ์ เขาเป็นคนทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เคยดูเกะกะ กลายเป็นเครื่องประดับและของกุ๊กกิ๊ก (ที่บางคนซื้อมาโชว์มากกว่าเอามาใช้) หรือทำให้ iPod กลายเป็น“อุปกรณ์ดนตรี” ที่แม้แต่คนไม่ฟังเพลงยังอยากมีเอาไว้อวดชาวบ้าน

Steve Jobs ในฐานะนักคิด นักครีเอทีฟต้องบอกว่าร้ายเหลือกิน เขาผู้นี้คือคนที่สร้างนิยามใหม่ให้ตลาดของ dynamic products สุดโหดของของสามสิ่ง อันได้แก่ ดนตรี (Music) ภาพยนต์ (Movie) และโทรศัพย์มือถือ (Mobile) แม้แต่ซีอีโอของ AT&T ที่ได้ลองใช้ iPhone ครั้งแรก (หลังจากรอคอยมานานแบบหยามๆหยิ่งๆ) ยังต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีของมือถือทุกยีห้อในตลาดตามหลังแอปเปิลอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปี!

“Steve Jobs” เป็นใครไม่น่าสนใจเท่าวิธีการที่เขา“คิด”ครับ

เขาคิดว่านักบริหารที่ดีต้องรู้จักองค์กรตัวเองแบบตีลังกากลับหัว คือถึงแม้จะมองกลับด้านยังเข้าใจและรู้ลึกถึงรายละเอียดทุกส่วนขององค์กร

ก่อนที่จะมี product ที่น่าตื่นตาตื่นใจใดๆจาก Apple ออกมา Steve ริเริ่มสอนให้คนในองค์กรที่เคยมีวัฒนธรรมการทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอนตามระเบียบวิธี ให้รู้จัก “คิดต่าง” คงเคยได้ยิน campaign “Think Different” ของ Apple ใช่มั้ยครับ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าคำนี้ไม่ใช่แค่คำพูดที่สวยหรูที่ใช้โฆษณาสินค้า Apple ตัวแรกๆตอนที่ Steve Jobs กลับเข้ามาทำงานรอบสอง แต่ “Think Different” คือ “วัฒนธรรม” ที่ซีอีโอคนนี้ต้องการให้คนในองค์กรเริ่มต้นมีก่อนจะคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆสิ่งอื่นครับ

เขาคิดว่านักบริหารที่ดีต้องรู้จักมอง “จังหวะของวิกฤต” ให้เป็น “โอกาส” และต้องรู้จักใช้จังหวะนั้นให้เป็น

ช่วงที่ ธุรกิจ dotcom กำลังบูม ค่ายเพลงแต่ละค่ายพยายามจะขายเพลงของตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้และถึงกับเจ๊งก็มี Steve Jobs สร้าง iTunes โดยการทำสัญญาเป็นนายหน้าขายเพลงให้ทุกค่าย เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องเล่นบน platform ของ Mac เท่านั้น ทุกค่ายเพลงตอนนั้นก็เลือดเข้าตา จะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่เอาอะไรได้ก็คว้าไว้ก่อน คิดว่า platform นี้ยังไงก็จำกัดกลุ่ม consumer จะเอาอะไรไปสู้ windows จึงตกล่องปล่องชิ้นกับ Steve ผลออกมาคืออะไรใครทราบบ้าง ตอนนี้ iTunes คือร้านขายเพลงออนไลน์ (และออฟไลน์) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดธุรกิจมากกว่าสองเท่าของธุรกิจซีดีหรือแผ่นเสียงทั้งหมดรวมกัน (ตอนนี้แม้แต่คนใช้ windows ยังต้องหา iTunes มาลง)

เขาคิดว่าการเป็นนักบริหารที่ดีคือพูดเมื่อควรพูดและควรพูดอย่างชัดเจน

Steve Jobs บอกว่าการพูดของผู้บริหารเหมือนการส่งสัญญาณทางการตลาดให้กับสินค้าตัวเอง พูดน้อยทำให้คนคาดหวังมาก พูดมากไปคนอื่นก็ไม่ตื่นเต้นและคู่แข่งอาจเดาออกว่าเรามีอะไรดีๆ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเคยประมาณไว้ว่าหลังจากการวางขายสินค้าครั้งแรกของ iPhone (โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรมากกว่าความเป็นมือถือสมาร์ตโฟน) Apple ทำเงินกว่า 400ล้านเหรียญสหรัฐจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาทางอ้อม โดยการไม่มีการเปิดตัวประชาสัมพันธ์หรือพูดถึงสินค้าตัวนี้ใดใดอย่างเป็นทางการเลย!
...
เขาคิดว่าการเป็นนักบริหารที่ดีต้อง “ไม่พยายาม”เป็นนักออกแบบ แต่ต้อง “รู้จักจิตใจและวิธีคิด” ของนักออกแบบครับ

ครั้งหนึ่งผู้บริหารระดับสูงของ Apple ตรวจ design ใหม่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทีมออกแบบนำเสนอ หลังจากใช้เวลาดูเพียงไม่กี่นาทีโดยที่ยังไม่ทันดูรายละเอียดให้ลึก ก็สรุปแล้วบอกว่า “เชย” พร้อมกับมอบนโยบายเก๋ๆให้แก่ designer ของบริษัทว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล design ใหม่ตัวนี้ ต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วย 1.ฮาร์ดแวร์ที่แข็งแรงเหมือนของ Dell 2.ต้องรองรับการใช้งานได้หลากหลายแบบ Microsoft และ 3.ต้องทรงพลังด้วยชิปจาก Intel (ต้อง..เอาความแข็งแกร่งของคู่แข่งทุกคนมารวมกัน)

protocol ตัวแรกๆของคอมพิเตอร์รุ่นใหม่ของ Apple เป็นทุกอย่างๆที่ผู้บริหารคนนั้นอยากให้เป็นครับ เพียงแต่ “ขายไม่ได้”
ด้วยการมองแบบ “ไม่พยายาม..แต่เข้าใจ” ของ Steve Jobs ปีนั้นทำให้เราได้เห็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจาก “designเดิมๆ” ที่เอามา “คิดใหม่ๆ” แบบที่ไม่มีร่องรอยของนโยบายทั้ง 3 ข้อนั้นเหลืออยู่เลย

“iMac” ครับ


เรื่องของ Steve Jobs กำลังกลายเป็น “ตำนาน” ที่สร้าง “กำลังใจ” หวังว่าเรื่องๆนี้จะให้อะไรดีๆในปีใหม่นี้กับท่านผู้อ่าน

สวัสดีปีใหม่ครับ

Tuesday 15 December 2009

Design Trend 2010




อีกปีนึงเวียนผ่านมาแล้วนะครับ ปัจจุบันการออกแบบบ้านทั้งในรูปแบบงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในเปลี่ยนแปลงเร็วมากครับ วงรอบของการออกแบบสถาปัตยกรรมบ้านรุ่นเก่าๆที่มีหลังคา pitch มุงคลุมด้วยกระเบื้องแผ่นบวมๆโตๆบนเลเอาท์ที่แน่นๆ เบียดๆ เริ่มจะตกยุคแล้ว (เมืองไทยค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ทำให้ยังเห็นแบบบ้านสร้างใหม่ยังคงลักษณะแบบดั้งเดิมลักษณะนี้บ้าง) งานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่หลายปีหลังรวมทั้งปีหน้าจะแทนที่ด้วยแปลนเปิดแบบกว้างๆ(มาก) การออกแบบเน้นลักษณะการใช้แมสที่ซ้อนกันแบบใจกล้าน่าติดตามมากขึ้น ลักษณะการจัดวางยังคงเป็นกล่องภายนอกซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการจัดพื้นที่ภายในได้น่าสนใจมากขึ้น หลังคาอาจเป็น slab เท หรือไม่ก็ใช้หลังคา pitch ที่อาศาต่ำๆมากก็ได้ครับ แทรนด์การออกแบบโดยเน้นความรู้สึกจากธรรมชาติยังคงอินไม่เอาท์ อย่างไรก็ก็ดี จะยังคงเห็นบ้านโมเดิร์นสไตล์ไทยๆที่เรามักชอบเล่นวัสดุตกแต่งสถาปัตยกรรมภายนอกหลายๆแบบผสมผสานกัน จะขาวโมเดิร์นก็ไม่ยอมซะทีเดียวครับ (ยังขอโชว์วัสดุหน่อย)

แนวทางการตกแต่งภายในปี 2010 สไตลย์ไทยๆยังเป็นแบบตัวใครตัวมัน และมีความชอบของตัวเอง ถ้าให้พูดถึงของที่กำลังฮิตมาแรงคงเป็นแนวทางงานออกแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากงาน graphic design เช่นวอลเปเปอร์ลายนูน ใหญ่ มองเห็นตัวตนและความหมายที่จะสื่อชัดเจน งาน Inkjet บนผนังกลับมานิยมอีกครั้งหลังจากหายไปหลายปี คงด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ชิ้นงานกราฟฟิคของ Inkjet ทำได้ดีขึ้นมาก หรืองานออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวอินที่เน้นพื้นที่ใหญ่ๆไม่เป็นซอกมุมและใช้กรอบของพื้นที่เป็นตัวบอกแนวคิดของการออกแบบ

ปีหน้านี้ texture แบบสีพ่น hi-gross แรงๆมันๆกลับมาช่วยให้แทรนด์งานโมเดิร์นหรูๆน่าสนใจขึ้น ทำได้โดยการทำให้ผิวสัมผัสของเฟอร์นิเจอร์บางเฉียบลงเหมือนกระจกแต่ยังดูสดใสและแข็งแรง ตอนนี้งานตกแต่งภายในติดเน้นหรูแบบโมเดิร์นวินเทจแนว art deco นิดๆและดูดีครับ หนังเริ่มไม่ค่อยเป็นที่นิยม ผ้าบุต่างๆเอามาใช้น้อยลงเพื่อไม่ทำให้งานออกคอมเทมเกินไป สีเฟอร์จะออกแนวดำขรึม เขียว พื้นแบบหินเทอราซโซจะน่าสนใจ สรุปคืองานอินทิเรียจะดีเทลน้อยลงแต่ abstract มากขึ้น สีสะท้อนความหรูด้วยความ เงา แวววาว ตามแฟชันของปีหน้าครับ