โอย ว่าจะไม่เขียนอะไรที่มันการเมือง
ต่อมอยากมันห้ามไม่ได้จริงๆ
การเมืองตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนรับราชการ
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องดีและเรื่องที่อึดอัด
วันสุดท้ายของสัญญารับทุนคือวันสิ้นสุดของชีวิตราชการของผม
สิ้นสุดคือหมดแล้วจริงๆครับ
ใบลาออกซึ่งเป็นเศษกระดาษหนึ่งแผ่น มีช่องว่างให้ระบุ เหตุผล ของการลาออก
ไอ้ผมมันตอนนั้นไม่ได้คิด ว่าช่องนี้มันต้องเขียนอะไรลงไปก็ได้ หรือใบลาออกนี้ใครต้องอนุมัติ
ผมเลยเขียนเหตุผลว่า "เบื่อหน่ายกับ ระบบราชการ การเมืองในมหาวิทยาลัย ที่ถ่วงดุลทุกสิ่งทุกอย่าง"
ได้เรื่องครับ
เจ้าหน้าที่ กจ รับไปอ่านแล้วมองหน้าผมพร้อมอมยิ้ม
"เอ่อ อาจารย์ยื่นกับท่านอธิการเองแล้วกันนะคะ"
ผมเพิ่งรู้ว่าเอกสารมันเดินตามช่องเองได้ ไม่ต้องยื่นเอง
แต่ก็เดินไปยื่นเอง
ท่านอ่านแล้ว"เซ็น"เดี๋ยวนั้นเลยครับ
คนที่เคยเป็นอาจารย์มหาลัย คงทราบว่า สายงานของอาจารย์ ทำให้คนในหรือคนนอกนับหน้าถือตา และหลายครั้ง มี"ชนชั้น"
บางครั้งเราสนุกกับ"ชนชั้น" จนลืมไปว่าเราคือ ผู้สอน ผู้ให้ (ตามหน้าที่)
เราเป็น"เบี้ย"ในกระดานที่เดินตามกติกาของเกม"ชนชั้น"
โดยมี"ขุน"และ"หมาก"ที่ก็ต้องเดินตามกติกาที่วางเอาไว้เหมือนกันของ"ชนชั้น"
ทว่า กติกาทำให้"เบี้ย"กิน"หมาก"อะไรก็ได้ ในกระดานของ"ชนชั้น"
เราเลยเผลออยากทำอะไรในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ แบบสะเปะสะปะ
ทั้งๆที่เดินได้ทีละก้าว ทีละตา
ผมเลยเลิกเล่น
เลิกเป็น"เบี้ย" และเลือกที่จะเดินออกจากกติกาของ "ชนชั้น"
เมื่อออกมาเลยเห็นอะไรชัดขึ้น ใสขึ้น
ว่าจริงๆแล้วเราก็เป็นแค่ "หมาก" "เบี้ย"และบางครั้ง"ขุน" ซึ่งเจ้าของกติกา เจ้าของกระดานของ"ชนชั้น"ตั้งให้
ผมดีใจที่ไม่ได้เป็นแค่"หมาก"ให้เค้าเขี่ย เป็น"เบี้ย"ให้เค้าเดิน
เพราะว่าถ้าเราเดินในทิศทางที่เจ้าของกระดานของ"ชนชั้น" เค้าไม่พอใจ
เค้าก็"ล้ม"กระดาน และกำหนดกติกาใหม่ ตั้ง "หมาก" "เบี้ย" และ"ขุน" ใหม่
1 comment:
Interesting! Happiness and wisdom are two different things, and are probably mutually exclusive :)
phatrasamon
Post a Comment