Friday 10 April 2009

อะไรคือ"แตกต่าง"

เมื่อวานนี้น้องๆที่หนังสือ In Residence มาขอสัมภาษณ์ผมและถามคำถามหนึ่งที่น่าคิด น่าตอบ
"บริษัทอสังหาแต่ละบริษัทแตกต่างกันอย่างไรและอะไรเป็นที่เป็นปัจจัยในการทำตลาดให้ประสบความสำเร็จ"

ตำราการตลาดหลายเล่ม บอกว่าต้องสร้าง จุดขายที่"แตกต่าง"
นักโฆษณาบอกว่า ต้องมีกอปปี้(ไรเตอร์)ที่โดน แทงตรงๆ กระแทกแรงๆ
เซลล์บอกว่า ต้องรู้จักช่องทางที่ใช่ เจอคนที่ใช่ ถูกที่ ถูกเวลา

ถูกทุกข้อครับ

ยังงัยก็ตามผมอย่างให้ดูว่าทั้งสามข้อว่าอะไรคือคำตอบสุดท้าย

มีจุดขายแล้วเป็นอย่างไร?
มีคำพูดสวยหรูแล้วงัยต่อ?
เข้าถูกchannelแล้วทำไม?

ถึงทำได้หมดทุกข้อแต่ขาด"บุคคลิก"ข้อนึงแล้ว ก็จบครับ

"เสน่ห์"ครับ "เสน่ห์"

บริษัทออกแบบ บริษัทก่อสร้าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ หลายๆบริษัทมีแนวทางคล้ายๆกันเช่น บางบริษัทจับงานโมเดิร์น บ้างจับตลาดบน บ้างจับตลาดล่าง ใกล้รถไฟฟ้า บ้างเน้นคอนเทม คลาสสิค ก็ว่ากันไป

"เสน่ห์"ของพวกเราต่างกันอย่างไรล่ะครับ

บริหาร"เสน่ห์"ของเราเป็นหรือไม่

นี่คือสิ่งทำให้เรา"แตกต่าง"

ลองนึกถึงเปรียบเทียบกับสุภาพสตรี

บางที เธอ play "hard to get"
บางครั้ง เธอแค่หลอกให้อยากแล้วจากไป
หลายครั้ง เธอทำให้ใจเราละลายโดยไม่ต้องออกแรง

งานการตลาดอสังหาจึง ไม่ใช่แค่วิธีการ ไม่ใช่แค่ราคา ไม่ใช่แค่ความสวย ไม่ใช่แค่ฐานะ เพราะสิ่งเหล่านี้ "สร้างได้"

"เสน่ห์" สร้างยากครับ

Thursday 9 April 2009

หมาก เบี้ย และ ขุน

โอย ว่าจะไม่เขียนอะไรที่มันการเมือง

ต่อมอยากมันห้ามไม่ได้จริงๆ

การเมืองตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนรับราชการ
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องดีและเรื่องที่อึดอัด

วันสุดท้ายของสัญญารับทุนคือวันสิ้นสุดของชีวิตราชการของผม
สิ้นสุดคือหมดแล้วจริงๆครับ

ใบลาออกซึ่งเป็นเศษกระดาษหนึ่งแผ่น มีช่องว่างให้ระบุ เหตุผล ของการลาออก
ไอ้ผมมันตอนนั้นไม่ได้คิด ว่าช่องนี้มันต้องเขียนอะไรลงไปก็ได้ หรือใบลาออกนี้ใครต้องอนุมัติ

ผมเลยเขียนเหตุผลว่า "เบื่อหน่ายกับ ระบบราชการ การเมืองในมหาวิทยาลัย ที่ถ่วงดุลทุกสิ่งทุกอย่าง"

ได้เรื่องครับ

เจ้าหน้าที่ กจ รับไปอ่านแล้วมองหน้าผมพร้อมอมยิ้ม

"เอ่อ อาจารย์ยื่นกับท่านอธิการเองแล้วกันนะคะ"

ผมเพิ่งรู้ว่าเอกสารมันเดินตามช่องเองได้ ไม่ต้องยื่นเอง
แต่ก็เดินไปยื่นเอง

ท่านอ่านแล้ว"เซ็น"เดี๋ยวนั้นเลยครับ

คนที่เคยเป็นอาจารย์มหาลัย คงทราบว่า สายงานของอาจารย์ ทำให้คนในหรือคนนอกนับหน้าถือตา และหลายครั้ง มี"ชนชั้น"

บางครั้งเราสนุกกับ"ชนชั้น" จนลืมไปว่าเราคือ ผู้สอน ผู้ให้ (ตามหน้าที่)

เราเป็น"เบี้ย"ในกระดานที่เดินตามกติกาของเกม"ชนชั้น"

โดยมี"ขุน"และ"หมาก"ที่ก็ต้องเดินตามกติกาที่วางเอาไว้เหมือนกันของ"ชนชั้น"

ทว่า กติกาทำให้"เบี้ย"กิน"หมาก"อะไรก็ได้ ในกระดานของ"ชนชั้น"
เราเลยเผลออยากทำอะไรในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ แบบสะเปะสะปะ

ทั้งๆที่เดินได้ทีละก้าว ทีละตา

ผมเลยเลิกเล่น

เลิกเป็น"เบี้ย" และเลือกที่จะเดินออกจากกติกาของ "ชนชั้น"

เมื่อออกมาเลยเห็นอะไรชัดขึ้น ใสขึ้น

ว่าจริงๆแล้วเราก็เป็นแค่ "หมาก" "เบี้ย"และบางครั้ง"ขุน" ซึ่งเจ้าของกติกา เจ้าของกระดานของ"ชนชั้น"ตั้งให้

ผมดีใจที่ไม่ได้เป็นแค่"หมาก"ให้เค้าเขี่ย เป็น"เบี้ย"ให้เค้าเดิน

เพราะว่าถ้าเราเดินในทิศทางที่เจ้าของกระดานของ"ชนชั้น" เค้าไม่พอใจ

เค้าก็"ล้ม"กระดาน และกำหนดกติกาใหม่ ตั้ง "หมาก" "เบี้ย" และ"ขุน" ใหม่

Wednesday 8 April 2009

ประวัติศาสตร์ ปรัชญาและการปกครอง

สองสามปีนี้ดูข่าวประเทศที่เรียกตัวเองว่า ไทย แล้วบอกตรงๆว่า ว้าเหว่

เมื่อคนไทยไม่เข้าใจความแตกต่างของคำว่า อดทน(tolerance) ดื้อดึง (ignorance) และช่างมันเถอะ (complacency) และหลายคนทำเหมือนสิ่งเหล่านี้มันเหมือนกัน หรือใช้ประโยชน์จากมันต่างกรรมต่างวาระ

เมื่อคนไทยหลายคนเป็นคนที่นึกว่าตัวเองเข้าใจประวัติศาสตร์ แต่จริงๆคือเข้าใจตามสิ่งที่มีคนบอก คนเล่า ไม่มีการเปรียบเทียบมุมกว้าง มุมแตกต่างหรือมุมที่ไม่เคยนึกถึง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่สังเคราะห์ ไม่เคยวิเคราะห์ อนุมานคำตอบเอาตามความง่ายความสะดวก นี่เป็นเหตุแห่งเรื่องที่ว่าทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ไม่ต้องคิดมาก มันเหนื่อย เมื่อไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ก็ไม่เข้าใจปัจจุบันและไม่รู้อนาคต

เมื่อคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนที่นึกว่าตัวเองเข้าใจตัวเอง แต่ไม่รู้ลึกซึ้งถึงรากเหง้าของวิธีคิดในองค์ประกอบต่างๆ ทำให้เป็นคนผิวเผินแบบที่หรือแต่ที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง(อย่างเหลือเชื่อ) ไม่รู้จักคำว่าปรัชญา ไม่เคารพตนเอง ไม่ทำอะไรจริงจังเพื่อให้เหลือความภูมิใจในสิ่งเหล่านั้น ไม่ภูมิใจในวิชาชีพหรือสิ่งที่ตนทำอยู่ คือมองคุณค่าของตนเองแค่ตามบริบทที่สังคมมอบให้

คนไทยอาจชินกับการถูกบอก ถูกลาก ถูกจูง เข้าใจตามที่คนบอก คนไทยนึกว่าเข้าใจตนเองและไม่สนในรากเหง้าวิธีคิด ก็จึงเลือกที่จะมีการปกครองหรือถูกปกครองแบบนี้ โดยไม่รู้ตัว

คนไทยอาจไม่เคยสามัคคีกันจริงๆอย่างที่พยายามหลอกตัวเองปาวๆตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คนไทยอาจทำเพื่อกลุ่มหรือพวกพ้องของตนเองเพื่ออยู่รวมกันอย่างหลวมๆได้ก็แค่ระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้สิ่งบางสิ่งยึด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น เป้าหมาย ความสำเร็จ หัวหน้าเผ่า การปกครอง รัฐ ศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่

ยอมรับกันเถอะครับ ไม่เห็นต้องมีใครเดือดร้อน

จะร้อนไปทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร ก็ในเมื่อเราทำตัวเราเอง เคารพตัวเองได้เท่านี้

แค่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

เมื่่อการอยู่รวมกันอย่างหลวมๆนั้น มันหมดเวลาตามรอบของมัน

ไม่ว่า อำนาจ เงิน ชนชั้น การปกครอง มันแค่สิ่งรอบตัว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

Tuesday 7 April 2009

ไม่ใช่เรื่อง 2 มาตราฐาน แต่คือ "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้"

สองสามปีก่อน ท่านบอกเศรษฐกิจไม่ดีตลาดบ้านและอาคารสร้างเองมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้าน

มาปีนี้ ทั้งที่เศรษฐกิจดิ่งเหว พอรัฐออกมาตราการทางภาษีเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ อยากมีส่วนร่วม ท่านรีบเคาะกะลา(ราคา)บอกว่าตลาดนี้น่ะมันตั้ง 50,000 ล้าน (นะครับท่านรัฐมนตรี)

ไม่กี่ปีก่อน บอกว่าเมกกะโปรเจคเป็นแหล่งคอรับชันของนักการเมือง ต้องระมัดระวัง

มาปีนี้ ไม่ต้องระวังต้องเร่งมันเข้าไป ไอ้รถไฟฟ้าสายโน่นสายนี่(เดี๋ยวตกรถ) เพราะก่อสร้างคือการกระจายรายได้สู่รากหญ้า

ไม่กี่ปีก่อน บอกว่าเมืองไทยมีต้องมีสองสนามบินเหมือนประเทศอื่นๆ ทิ้งดอนเมืองทำไม จัดไปอย่าให้เสีย

มาปีนี้ ย้ายกลับแล้ว การบินไทย (ก็มีสองที่มันไม่สะดวก) สายการบินอื่นต้องกลับด้วยนะ(เอ้อ)

คนนึงบอก ไม่เอาแล้ว เข็ดแล้ว เชื่องแล้ว เลิกแล้วการเมือง
คนคนเดียวกัน ยังไม่ทันข้ามวันข้ามเดือน ออกมาปลุกม๊อบ

คนนึงบอก ไม่ยุ่งการเมืองเพราะยุ่งไม่ได้
คนเดียวกัน ยังไม่ทันสัมภาษณ์จบ บอก“ผมเชียร์”

ไม่กี่เดือนที่แล้ว คนนึงไม่เห็นเดือดร้อน ไม่เห็นพูดว่าการชุมนุมเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เวลาเคลื่อนตัวไปโน่นมานี่ ไปยึดสนามบินก็ไม่เห็นว่าอะไรหรือออกความเห็นอะไร

มาปีนี้เค้ายังไม่ทันทำอะไร เอาทหารมารอเป็นกองพัน รีบออกมาดักคอว่า อย่านะ อย่าทำผิดกฏหมายนะ ต้องรักษาความสงบนะ เพื่อบ้านเมืองนะ อย่าทะเลาะกันอีกนะ พูดออกที่วีเป็นวรรคเป็นเวร

“ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ” มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ “ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม”

ก็ยอมรับกันเถอะครับว่าละคอนเค้ามีไว้ดูเพื่อความบรรเทิง

พวกท่านก็เหมือน นักแสดงที่ว่ากันไปตามบท ไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก
พวกผมก็เหมือน คนดู ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าละคอนหลายเรื่องก็ซ้ำไปซ้ำมา พอเดาได้ แต่พวกผมก็ดูเอามันส์
พวกท่านก็เล่นกันไป พวกผมจะรอดู

แต่รู้มั้ยครับ เดี๋ยวนี้คนดูเค้าไม่โง่และแยกแยะออกนะครับ ว่าอะไรเป็นอะไร