Monday 21 December 2009

เรื่องสุดท้าย(ของปี)..ร้ายสุด




วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มขยับนิ้วเขียนเรื่องราวต่างๆ ทั้งในสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ ทั้งจากเรื่องของไวน์มาถึงเรื่องธุรกิจ วันนี้ครบหนึ่งปีพอดีครับ ต้องขอขอบคุณเพื่อนนักอ่านที่อีเมล์ส่งข้อความต่างๆเข้ามาให้กำลังใจอยู่เรื่อยๆ เนื่องในโอกาสแบบนี้ ผมอยากเขียนเรื่องดีดี ของคนดีดีและเก่งอีกสักเรื่อง เป็นคนเก่งที่นิตยสาร Fortune ยกให้เป็น CEO of the Decade หรือ ซีอีโอแห่งทศวรรษ คนๆนั้นหลายท่านรู้จักกันดี

“Steve Jobs” แห่ง “Apple” ครับ

Steve Jobs ในฐานะเป็นนักบริหารต้องเรียกว่าเก่งและอึดเหลือเชื่อ โดนไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือยังอดทน รอเวลาพิสูจน์ตัวเองเป็นสิบปี เพื่อให้คนที่เขาไล่ออกกลับมาเชิญกลับเข้าไปทำงานได้ แถมยังทำให้หุ้นของบริษัทโตแบบก้าวกระโดดแบบคนอื่นไม่อยากจะไล่ให้ทันทุกครั้ง

Steve Jobs ในฐานะนักออกแบบต้องใช้คำว่ามันส์เหลือหลาย product ทุกตัวเขาสามารถทำให้เป็น talk of the town เครื่อง G4 Cube ที่สวยและเก่ง จน MoMa (Museum of Modern Arts) ยังต้องอันเชิญเอามาไว้ในพิพิธภัณฑ์ เขาเป็นคนทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เคยดูเกะกะ กลายเป็นเครื่องประดับและของกุ๊กกิ๊ก (ที่บางคนซื้อมาโชว์มากกว่าเอามาใช้) หรือทำให้ iPod กลายเป็น“อุปกรณ์ดนตรี” ที่แม้แต่คนไม่ฟังเพลงยังอยากมีเอาไว้อวดชาวบ้าน

Steve Jobs ในฐานะนักคิด นักครีเอทีฟต้องบอกว่าร้ายเหลือกิน เขาผู้นี้คือคนที่สร้างนิยามใหม่ให้ตลาดของ dynamic products สุดโหดของของสามสิ่ง อันได้แก่ ดนตรี (Music) ภาพยนต์ (Movie) และโทรศัพย์มือถือ (Mobile) แม้แต่ซีอีโอของ AT&T ที่ได้ลองใช้ iPhone ครั้งแรก (หลังจากรอคอยมานานแบบหยามๆหยิ่งๆ) ยังต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีของมือถือทุกยีห้อในตลาดตามหลังแอปเปิลอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปี!

“Steve Jobs” เป็นใครไม่น่าสนใจเท่าวิธีการที่เขา“คิด”ครับ

เขาคิดว่านักบริหารที่ดีต้องรู้จักองค์กรตัวเองแบบตีลังกากลับหัว คือถึงแม้จะมองกลับด้านยังเข้าใจและรู้ลึกถึงรายละเอียดทุกส่วนขององค์กร

ก่อนที่จะมี product ที่น่าตื่นตาตื่นใจใดๆจาก Apple ออกมา Steve ริเริ่มสอนให้คนในองค์กรที่เคยมีวัฒนธรรมการทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอนตามระเบียบวิธี ให้รู้จัก “คิดต่าง” คงเคยได้ยิน campaign “Think Different” ของ Apple ใช่มั้ยครับ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าคำนี้ไม่ใช่แค่คำพูดที่สวยหรูที่ใช้โฆษณาสินค้า Apple ตัวแรกๆตอนที่ Steve Jobs กลับเข้ามาทำงานรอบสอง แต่ “Think Different” คือ “วัฒนธรรม” ที่ซีอีโอคนนี้ต้องการให้คนในองค์กรเริ่มต้นมีก่อนจะคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆสิ่งอื่นครับ

เขาคิดว่านักบริหารที่ดีต้องรู้จักมอง “จังหวะของวิกฤต” ให้เป็น “โอกาส” และต้องรู้จักใช้จังหวะนั้นให้เป็น

ช่วงที่ ธุรกิจ dotcom กำลังบูม ค่ายเพลงแต่ละค่ายพยายามจะขายเพลงของตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้และถึงกับเจ๊งก็มี Steve Jobs สร้าง iTunes โดยการทำสัญญาเป็นนายหน้าขายเพลงให้ทุกค่าย เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องเล่นบน platform ของ Mac เท่านั้น ทุกค่ายเพลงตอนนั้นก็เลือดเข้าตา จะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่เอาอะไรได้ก็คว้าไว้ก่อน คิดว่า platform นี้ยังไงก็จำกัดกลุ่ม consumer จะเอาอะไรไปสู้ windows จึงตกล่องปล่องชิ้นกับ Steve ผลออกมาคืออะไรใครทราบบ้าง ตอนนี้ iTunes คือร้านขายเพลงออนไลน์ (และออฟไลน์) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดธุรกิจมากกว่าสองเท่าของธุรกิจซีดีหรือแผ่นเสียงทั้งหมดรวมกัน (ตอนนี้แม้แต่คนใช้ windows ยังต้องหา iTunes มาลง)

เขาคิดว่าการเป็นนักบริหารที่ดีคือพูดเมื่อควรพูดและควรพูดอย่างชัดเจน

Steve Jobs บอกว่าการพูดของผู้บริหารเหมือนการส่งสัญญาณทางการตลาดให้กับสินค้าตัวเอง พูดน้อยทำให้คนคาดหวังมาก พูดมากไปคนอื่นก็ไม่ตื่นเต้นและคู่แข่งอาจเดาออกว่าเรามีอะไรดีๆ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเคยประมาณไว้ว่าหลังจากการวางขายสินค้าครั้งแรกของ iPhone (โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรมากกว่าความเป็นมือถือสมาร์ตโฟน) Apple ทำเงินกว่า 400ล้านเหรียญสหรัฐจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาทางอ้อม โดยการไม่มีการเปิดตัวประชาสัมพันธ์หรือพูดถึงสินค้าตัวนี้ใดใดอย่างเป็นทางการเลย!
...
เขาคิดว่าการเป็นนักบริหารที่ดีต้อง “ไม่พยายาม”เป็นนักออกแบบ แต่ต้อง “รู้จักจิตใจและวิธีคิด” ของนักออกแบบครับ

ครั้งหนึ่งผู้บริหารระดับสูงของ Apple ตรวจ design ใหม่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทีมออกแบบนำเสนอ หลังจากใช้เวลาดูเพียงไม่กี่นาทีโดยที่ยังไม่ทันดูรายละเอียดให้ลึก ก็สรุปแล้วบอกว่า “เชย” พร้อมกับมอบนโยบายเก๋ๆให้แก่ designer ของบริษัทว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล design ใหม่ตัวนี้ ต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วย 1.ฮาร์ดแวร์ที่แข็งแรงเหมือนของ Dell 2.ต้องรองรับการใช้งานได้หลากหลายแบบ Microsoft และ 3.ต้องทรงพลังด้วยชิปจาก Intel (ต้อง..เอาความแข็งแกร่งของคู่แข่งทุกคนมารวมกัน)

protocol ตัวแรกๆของคอมพิเตอร์รุ่นใหม่ของ Apple เป็นทุกอย่างๆที่ผู้บริหารคนนั้นอยากให้เป็นครับ เพียงแต่ “ขายไม่ได้”
ด้วยการมองแบบ “ไม่พยายาม..แต่เข้าใจ” ของ Steve Jobs ปีนั้นทำให้เราได้เห็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจาก “designเดิมๆ” ที่เอามา “คิดใหม่ๆ” แบบที่ไม่มีร่องรอยของนโยบายทั้ง 3 ข้อนั้นเหลืออยู่เลย

“iMac” ครับ


เรื่องของ Steve Jobs กำลังกลายเป็น “ตำนาน” ที่สร้าง “กำลังใจ” หวังว่าเรื่องๆนี้จะให้อะไรดีๆในปีใหม่นี้กับท่านผู้อ่าน

สวัสดีปีใหม่ครับ

Tuesday 15 December 2009

Design Trend 2010




อีกปีนึงเวียนผ่านมาแล้วนะครับ ปัจจุบันการออกแบบบ้านทั้งในรูปแบบงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในเปลี่ยนแปลงเร็วมากครับ วงรอบของการออกแบบสถาปัตยกรรมบ้านรุ่นเก่าๆที่มีหลังคา pitch มุงคลุมด้วยกระเบื้องแผ่นบวมๆโตๆบนเลเอาท์ที่แน่นๆ เบียดๆ เริ่มจะตกยุคแล้ว (เมืองไทยค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ทำให้ยังเห็นแบบบ้านสร้างใหม่ยังคงลักษณะแบบดั้งเดิมลักษณะนี้บ้าง) งานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่หลายปีหลังรวมทั้งปีหน้าจะแทนที่ด้วยแปลนเปิดแบบกว้างๆ(มาก) การออกแบบเน้นลักษณะการใช้แมสที่ซ้อนกันแบบใจกล้าน่าติดตามมากขึ้น ลักษณะการจัดวางยังคงเป็นกล่องภายนอกซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการจัดพื้นที่ภายในได้น่าสนใจมากขึ้น หลังคาอาจเป็น slab เท หรือไม่ก็ใช้หลังคา pitch ที่อาศาต่ำๆมากก็ได้ครับ แทรนด์การออกแบบโดยเน้นความรู้สึกจากธรรมชาติยังคงอินไม่เอาท์ อย่างไรก็ก็ดี จะยังคงเห็นบ้านโมเดิร์นสไตล์ไทยๆที่เรามักชอบเล่นวัสดุตกแต่งสถาปัตยกรรมภายนอกหลายๆแบบผสมผสานกัน จะขาวโมเดิร์นก็ไม่ยอมซะทีเดียวครับ (ยังขอโชว์วัสดุหน่อย)

แนวทางการตกแต่งภายในปี 2010 สไตลย์ไทยๆยังเป็นแบบตัวใครตัวมัน และมีความชอบของตัวเอง ถ้าให้พูดถึงของที่กำลังฮิตมาแรงคงเป็นแนวทางงานออกแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากงาน graphic design เช่นวอลเปเปอร์ลายนูน ใหญ่ มองเห็นตัวตนและความหมายที่จะสื่อชัดเจน งาน Inkjet บนผนังกลับมานิยมอีกครั้งหลังจากหายไปหลายปี คงด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ชิ้นงานกราฟฟิคของ Inkjet ทำได้ดีขึ้นมาก หรืองานออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวอินที่เน้นพื้นที่ใหญ่ๆไม่เป็นซอกมุมและใช้กรอบของพื้นที่เป็นตัวบอกแนวคิดของการออกแบบ

ปีหน้านี้ texture แบบสีพ่น hi-gross แรงๆมันๆกลับมาช่วยให้แทรนด์งานโมเดิร์นหรูๆน่าสนใจขึ้น ทำได้โดยการทำให้ผิวสัมผัสของเฟอร์นิเจอร์บางเฉียบลงเหมือนกระจกแต่ยังดูสดใสและแข็งแรง ตอนนี้งานตกแต่งภายในติดเน้นหรูแบบโมเดิร์นวินเทจแนว art deco นิดๆและดูดีครับ หนังเริ่มไม่ค่อยเป็นที่นิยม ผ้าบุต่างๆเอามาใช้น้อยลงเพื่อไม่ทำให้งานออกคอมเทมเกินไป สีเฟอร์จะออกแนวดำขรึม เขียว พื้นแบบหินเทอราซโซจะน่าสนใจ สรุปคืองานอินทิเรียจะดีเทลน้อยลงแต่ abstract มากขึ้น สีสะท้อนความหรูด้วยความ เงา แวววาว ตามแฟชันของปีหน้าครับ

Wednesday 25 November 2009

ลมหายใจของความพ่ายแพ้




ผมเป็นคนชอบดูหนัง วันก่อนได้ดูหนังเก่าๆเรื่องหนึ่ง เป็นหนังเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอลครับ ถึงผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่เลือกนักแสดงได้แบบไม่ถูกที่ถูกทางเรื่องหนึ่ง เพราะดันเอา คีอานู รีฟ มาเล่นเป็นควอเตอร์แบ็ค แต่ก็เป็นหนังกีฬาแบบ..ผู้ช๊าย..ผู้ชาย ที่ให้ให้มุมคิดที่คมกริบหลายมุม เช่นเมื่อ ยีน แฮ็กแมน ที่แสดงเป็นผู้จัดการทีมออกมาถามเพื่อให้สติอดีตควอเตอร์แบ็คตัวจริง ที่กลับมาเล่นให้ทีมในแบบไร้วิญญาณว่า “คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่นักกีฬาทุกคนต้องการและอยากได้เหมือนๆกัน คืออะไร..”

“second chance”

...

พ่ายแพ้หรือชัยชนะบางครั้งต่างกันแค่ “ลมหายใจ” แต่ไปทำให้ “ห่างไกลเหลือเกิน”
...

ในโลกธุรกิจ เมื่อกำไรขาดทุนเป็นกติกา แต่สำหรับนักกีฬา คะแนนที่สูงกว่า ย่อมเป็นตัวตัดสิน

สำหรับผู้แพ้หลายคน ความพ่ายแพ้ เป็นโอกาสอีกครั้งของความพยายาม

เศรษฐีไอเอ็มเอฟคนหนึ่ง ต้องมานั่งเศร้า เมื่อทราบว่าการลดค่าเงินทำให้ตัวเองเป็นหนี้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านจากค่าเงินที่ลดลง เริ่มทำงานแบบเบื่อๆอยากๆ กินไม่ได้นอนไม่หลับ บ่น ปรับทุกกับเพื่อนๆที่ทำธุรกิจ ว่ารู้สึกว่าตัวเอง “แพ้” หมดกำลังใจ เพื่อนแสนดีหัวเราะและบอกว่า เออจริง ตัวเองก็โดนเหมือนกัน ทั้งเป็นหนี้นับสิบล้าน แต่งานก็ไม่ได้ทำเพราะโรงงานโดนยึด แต่ “ดีใจ” ได้เริ่มต้นใหม่ซักที

ได้ฟังแบบนี้ลมหายใจจากความพ่ายแพ้ของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นกลิ่นของ “โอกาส” ชวนให้หวนหา “ชัยชนะ”

ก็เมื่อของเราถึงหนี้จะเยอะ แต่ยังมีงานให้ทำ โรงงาน ห้างร้านยังไม่ถึงกับโดนยึด (แบงค์คงไม่อยากปล่อยให้ล้มง่ายๆ) เพื่อนคนอื่นเหมือนจะชนะ แต่มีกลิ่นความพ่ายแพ้มากกว่าเราตั้งเยอะ (และเค้าก็ยังอยากเริ่มต้นใหม่)

...

สำหรับผู้ชนะบางคน ชนะแล้ว เป็นเรื่องของที่สุดของความพยายาม

ใครๆก็รู้ว่า แบรนด์ไหน หรือใคร เป็นเจ้าชาเขียว ทำตลาดมานาน จนยอดขายกว่า 80%ของชาเขียวที่ขายในประเทศดันลดลงเป็น 70%.. 60% และไม่ถึง 50% ปล่อยให้ผู้ที่เคยแพ้หรือหน้าใหม่ในตลาดชาเขียวมองปัญหาใหม่ จากจุดอ่อนที่เคยสู้ไม่ได้ของทั้งตัวแบรนด์เอง จากแพ็กเกจจิ้ง หรือจากช่องทางจัดจำหน่าย เปลี่ยนเป็นการมองหาจุดแข็งที่รสชาติซึ่งใครๆก็ปรุงได้ เดี๋ยวนี้ไปดูแถวทองหล่อ อาร์ซีเอสิครับ ชาเขียวยีห้ออะไร ขายดีถล่มทลายขนาดไหน (เขาเอาไปผสม “Black”)

ปล่อยให้เป็นแบบนี้ วันหนึ่งยอดขายที่เคยสูง อาจเป็นแค่ที่สุดของความพยายามแบบ “เหมือนเคย”



เมือโลกถูกกำหนดด้วยกฏเกณฑ์กติกา

ถึงจะชนะ ก็ต้องเข้าใจว่าการแข่งขันอาจยังไม่จบ แต่แพ้แล้วก็ต้องเคารพ รู้จักการยอมรับ

ไม่ใช่ยอมรับในความพ่ายแพ้ แต่ยอมรับกับความตื่นแต้นของ “โอกาส” ที่มาอีกครั้ง (second chance) เพื่อที่จะลุ้นให้กลับมาชนะ

เพราะไม่ว่า “ชนะหรือแพ้” มันก็ห่างกันแค่ “ลมหายใจ”

และไม่ว่าเจออะไร ก็หวนให้ “คิดถึง” อีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ

Tuesday 17 November 2009

เศรษฐศาสตร์และการทำนาย โวหารของกำลังใจ




สองสามปีมานี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ด คนทำธุรกิจนอกจากมองหาความหวังหรือแสงสว่างปลายอุโมงค์ ยังพยายามชะเง้อรอฟัง “ผู้รู้” หรือ “กูรู” ที่อย่างน้อยจะให้ความเห็นได้ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะโงหัวขึ้นได้สักที

การทำนาย หรือให้ความเห็นทางเศรษฐศาสตร์และทิศทางของเศรษฐกิจคือ “โวหาร” ที่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมาย แม้รูปแบบความเห็นหรือการนำเสนอจะแตกต่างกันแต่ก็ยึดหลักการคล้ายๆกันคือนำเสนอคำตอบที่ผู้รอฟังอยากฟังอยากรู้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบยากง่าย เข้าใจได้ช้าหรือเร็ว

เดิมทีการทำนายเป็นคนละเรื่องกับความเห็น ซึ่งเดี๋ยวนี้อย่างหลังมักขึ้นอยู่กับชื่อเสียง ความสามารถหรือแค่ภาพลักษณ์ของผู้พูด ปัจจุบันการทำนายหรือความเห็นจะมีประสิทธิภาพหรือถูกต้องแค่ไหนง่ายหรือยากเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อความเป็นจริงมาก อีกทั้งมักจะถูกสื่อความไปในทิศทางที่สนับสนุนต่อจุดประสงค์ซ่อนรูปของผู้พูด

เบื้องหน้าและเบื้องหลังของความเห็นทางเศรษฐศาสตร์และทิศทางของเศรษฐกิจเหล่านี้จริงๆแล้วอาจแค่บรรจุมายาคติเกี่ยวกับโวหารหรือภาวะในใจของผู้ส่งสาส์นเท่านั้น


เราเห็นหลักของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของนักการเมืองเรื่องเศรษฐกิจที่เข้มแข็งแล้ว หลังจากงบประมาณที่ไปกู้คนอื่นเขามาจำนวนมหาศาล (แต่ไม่ยักบอกว่าเกี่ยวข้องทางเศรษฐศาสตร์กับความเข้มแข็งอย่างไร)

...หรือนี่คือหลักการที่เน้นโวหารของประชานิยม

เราเห็นหลักของการให้ความเห็นทุติยภูมิทางเศรษฐกิจหรือ พฤติกรรมบางอย่างทางเศรษฐศาสตร์เพื่อองค์กร เป็นความเห็นความคิด คำทำนายที่ขึ้นๆลงๆ แบบอ้อมๆ วิถีโค้ง โดยนักวิชาการที่ไม่ว่าอ่อนเยาว์หรือมากด้วยคุณวุฒิ(แต่ไม่เคยอยู่ในสาระบบของธุรกิจ)

...หรือนี่คือหลักการที่เน้นโวหารของความมั่นใจในข้อพิสูจน์หรือแค่ความเชื่อ ไม่ว่าของตัวเอง หรือของคนอื่น ในหรือนอกระบบ

เราเห็นหลักของการแสดงความคิดเห็นของแนวโน้มการขึ้นลงของอุปสงค์ อุปทาน พฤติกรรมผู้บริโภคโดยนักธุรกิจที่ต้องการแสดงศักกายภาพของบริษัทหรือของตัวตน หรือเพื่อส่งเสียงดังๆโน้มน้าวตลาด หรือเพื่อสร้างแรงจูงใจผ่านสื่อหรือสาส์นต่างๆ

...หรือนี่คือหลักการที่เน้นโวหารของด้านความกลัว ความกังวล หรือความเข้มแข็ง ให้กำลังใจตลาด ให้กำลังใจตัวเอง หรือให้กำลังใจตลาดเพื่อให้กำลังใจตัวเอง


ความเห็นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำนายอาจมีธง มีภาพของตัวเองที่ส่งสัญญาณที่มีสัญลักษณ์อันหลากหลายขึ้นอยู่กับมุมมอง
เมื่อมีหลายมุมมองแล้วนั้น..

หรือการทำนายอะไรๆทางเศรษฐกิจ จะเป็นแค่เรื่องโวหารของกำลังใจ

Friday 13 November 2009

Design Is.. Milan Salone Internazionale del Mobile (จบ) 13-11-09




เดี๋ยวนี้อะไรอะไรก็ต้องมีดีไซน์แบรนด์นะครับ เฟอร์นิเจอร์หรู การตกแต่งรถยนต์ ลิโมซีนหรู มายบักหรือเมอร์เซดิส เรือสำราญ เครื่องบินโดยสารของสายการบินโดยเฉพาะจากแถบตะวันออกกลาง เครื่องบินส่วนตัว เลียเจ็ต แบรนด์ที่มักได้รับยอมรับเป็นอย่างสูงการถึงงานออกแบบและผลิตตกแต่งภายในคุณภาพสูงของแบรนด์เหล่านี้เพื่อยกระดับเสริม ตอกย้ำคุณภาพแบรนด์ขึ้นไปอีกคือ โพรทอนนาโฟล (Poltrona Frau)

Poltrona Frau คือตัวแทนของความหรูไร้ข้อจำกัดของกาลเวลาด้วยการออกแบบและตกแต่งร่วมสมัยคลาสสิคที่เน้นการใช้งานหนังเป็นหลักร่วมด้วย ลายไม้หรือผ้าคุณภาพสูงระดับไฮโซ ผนวกกับการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่สุดคุณภาพของงานยากจะหาที่ติ รายละเอียดทุกอย่างเริ่มต้นและจบด้วยช่างฝีมือล้วนๆ ด้วยการทำงานออกแบบกับดีไซเนอร์ระดับโลกเท่านั้น แบรนด์หรูแบบนี้เป็นเอกสิทธ์สำหรับนักสะสมตัวจริงและผู้เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครเท่านั้นครับ Poltrona Frau โด่งดังมีชื่อเสียงมานานเพราะงานออกแบบตกแต่งแบบครบวงจรในเครื่องบิน โรงละคร เรือ พระราชวัง สถานทูต หรือโรงแรมหรู เป็นแบรนด์สำหรับลูกค้ากลุ่ม elites และ royalties ที่เป็นบุคคลพิเศษจริงๆ งานทุกชิ้นของ Poltrona Frau ถือเป็น custom made ถึงแม้ช่วงหลังๆจะมีการผลิตและออกแบบคอลเลคชันแนวตามใจตลาดออกมาบ้างครับ

Poltrona Frau มีลูกค้าระดับ high profile มากมาย เมื่อเอ่ยถึงหลายท่านคงนึกออกหรือเคยใช้บริการ เช่นสายการบิน Etihad Airways, Singapore Airline, Japan Airlines และ Emirates ทั้งในเครื่องแอร์บัส 380 หรือเครื่องรุ่นอื่นๆในชั้นโดยสารธุรกิจและชั้นหนึ่ง อาคาร Al Sahel Towers ซึ่งตกแต่งทั้งอาคารที่ดูไบ เรือสำราญที่มีชื่อเสียงก้องโลกอย่าง Blue Velvet แม้แต่ Ferrari และ Maserati ก็เป็นลูกค้าแฟนพันธ์แท้ของแบรนด์ให้ตกแต่งภายในรถยนต์ระดับ super sport หลายรุ่น สมาชิกของราชวงศ์ของสหรัฐอาหรับเอมมิเรต ราชวงศ์โมนาโค และสมาชิกราชวงศ์ชั้นนำของยุโรปก็มักเลือกใช้บริการออกแบบและตกแต่งภายในเครื่องบินส่วนตัวของแบรนด์นี้อย่างสม่ำเสมอครับ

งานมิลานแฟร์ปีนี้จบไปแล้ว แต่เรื่องราวของเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ต่างๆหลากสไตย์หลายแนวคิดที่น่าหลงใหลเล่าอย่างไรก็ไม่มีจบ ฉบับหน้าผมจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเรื่องราวและเกร็ดความรู้สนุกๆของแบรนด์รุ่นใหม่ๆของเฟอร์นิเจอร์จากอิตาลีครับ

Friday 6 November 2009

กับดักความรู้สึก




“A human being is a part of a whole…He experience himself, his thoughts and feelings as something separated from the rest…a kind of optical delusion of his consciousness. This delusion is a kind of prison of us, restricting us to our personal desire and to affection for a few things nearest to us. Our task must be to free ourselves from this prison…”
Albert Eistien

“มนุษย์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของส่วนรวม มนุษย์ดันไปคิดเอาเองว่า การรับรู้ของตัวตน ความคิด และความรู้สึกเป็นเหมือนสิ่งที่แยกออกจากส่วนอื่นๆของส่วนรวม นั่นคือภาพลวงตาที่มนุษย์ไปสร้างขึ้นมาเองภายในจิตใจ ภาพมายานี้คือคุกที่ขังเราไว้กับความต้องการและความหลงใหลในสิ่งที่ใกล้ตัว หน้าที่ของเราจึงต้องปลดปล่อยตัวเองจากกับดักเหล่านี้แล้วสัมผัสความจริง”
อัลเบิร์ต ไอสไตน์

...

วันก่อนมีน้องคนหนึ่งที่เรียนอยู่ต่างประเทศ กำลังลุ้นกับผลการศึกษาที่ตะบี้ตะบันเรียนมานานหลายปี น้องคนนี้อยากให้ผมเล่าให้ฟังว่าจะจัดการกับ “ความเครียด” และ “ความกลัว” ได้อย่างๆไร

“ความเครียด” กับ “ความกลัว” บางคนแค่ได้ยินแล้วก็เหนื่อยแล้วครับ

ไม่ว่าเรื่องแบบเครียดๆที่ฟังแล้วกลัว หรือเรื่องน่ากลัวที่ทำให้เครียด เป็นเรื่องที่เกิดทุกเมื่อเชื่อวัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ยากที่จะกำจัด ก็เพราะตัวเราเองนั่นแหละที่เลือกจะสร้างกับดัก โดยการ“จำกัด”ให้มันอยู่ภายในตัวเราเอง

เมื่อเป็นเรื่องเกิดภายในตัวเรา เราทำตัวเราเองก็ต้องแก้เอง จัดการด้วยตัวเอง ให้มันสลายอยู่ข้างในไม่ให้ออกมาภายนอก

...

ผมเป็นคนชอบทำและชอบรับประทานครับ เมื่อรับประทานมาก ก็สร้างปัญหาจากภายในสู่ภายนอก จากความขยันทำอาหารเป็นไขมันที่เพื่มขึ้น กลายเป็นน้ำหนักที่ไม่ต้องการ แล้วย้อนกลับมาทำร้ายและทำลาย ความรู้สึก ความมั่นใจ ทำให้ผมเริ่ม “เครียด”(ที่จะอ้วนแล้วดูไม่ดี) แต่ดัน “กลัว”(ที่ถ้าจะต้องลดน้ำหนักแล้วจะต้องอดรับประทาน)

...

ไอสไตน์บอกว่าคนเราเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆของสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่า...

เมื่อเสี้ยวหนึ่งของสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่าบอกให้เรารู้ว่า ไขมันยังมีสองแบบ ทั้งแบบที่ดีและแบบไม่ดี ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่นักการเมือง นักปกครอง จึงต้องการทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีทั้งสองแบบในปริมาณที่ต่างกันแต่ “สัมพันธ์กัน” ในช่วงเวลาที่ร่างกายมีสภาวะต่างๆกัน
เมื่อเสี้ยวหนึ่งของสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่าบอกให้เรารู้ว่า คนเรายังมีหลายอารมณ์ หลากความรู้สึก สุข เศร้า เหงา หรือรัก โกรธ เกลียด เครียด และกลัว ปะปนกันไปในหลายมุม หลายช่วงของชีวิต ที่มีทั้งมืดบ้าง สว่างบ้าง

วันๆหนึ่งมีเรื่องราวจึงมากมาย ไม่ว่าเรื่องภายนอกตัว ชวนปวดหัว ผูกไปกับเรื่องข้างใน ย้อนคิดกลับไป ใครๆคงรู้สึกว่าเหนื่อยที่ต้องมานั่งคิด

เรื่องน้ำหนักที่ไม่ต้องการตอนนี้ผมเลยคิดแบบเหมาเองว่า อาจเป็นแค่ปริมาณความต้องการที่ “ไม่สัมพันธ์กัน” ณ ขณะหนึ่ง(ตอนชั่ง)ของ “ความเครียดและความกลัว” กับ “ความสุข” ที่ได้ทำและได้รับประทานอาหาร และ “ความกล้า”ที่จะรวบรวมกำลังใจเริ่มต้นกลับมาออกกำลังกาย

เมื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์นี้ได้อย่างน้อยก็ได้สัมผัสความเป็นจริงว่า ถ้าอยากทำอยากรับประทานก็ต้องรู้จักเปลี่ยนเรื่องเหนื่อยๆที่ต้องมานั่งเครียดและความกลัว หันมาเหนื่อยออกกำลังกายแต่ได้ผลาญแคลลอรี่

ทำให้เรื่อง “ความเครียดและกลัว” กับ “ความสุข” ของการกิน กลับมา “สัมพันธ์กัน” โดยการออกกำลังกาย

...

พูดถึงเรื่องที่เครียดและกลัวของผมอีกเรื่องหนึ่ง ชวนให้ย้อนกลับไปสมัยผมเรียนปริญญาเอก

เรื่องของการพูดในที่สาธารณะครับ

นักศึกษาปริญญาเอกมักถูกโพรเฟสเซอร์สั่งให้เขียนผลงานที่ได้จากการทำวิจัยเพื่อไปนำเสนอในงานประชุมวิชาการนานาชาติเสมอ สำหรับผมพูดไปครั้งไหนก็ไม่ประทับใจไม่รู้ลืมเท่าครั้งแรกครับ

บินไปประชุมก็บินไปคนเดียว ในที่ประชุมผู้เข้าร่วมเป็นพัน แต่ละคนก็หน้าโหดๆทั้งนั้น ดูชื่อแต่ละท่านแล้วก็ขนพองสยองเกล้า คนนี้ก็จำได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก คนนั้นแต่งตำราให้เราอ่านตอนเรียน เอ๊ะคนโน้นได้โนเบลนี่นา แล้วกะเหรี่ยงอย่างเราพูดไปแล้วใครจะฟัง เค้าจะคิดว่างานที่วิจัยเราผิดๆถูกมั้ยหว่า พูดออกมาเค้าจะด่าเรามั้ย สารพัดเหตุผลที่จิตใจภายใน จะหาเหตุให้ตัวผมทั้งกลัวทั้งเครียด ใจสั่นไปหมดครับ

กำลังจะขึ้นเวทียังต้องโทรทางไกลกลับไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาขอกำลังใจว่าเอางัยดี อันโน้นถูกมั้ย อันนี้ดีหรือยัง อาจารย์ผมไม่ตอบอะไรเป็นเรื่องเป็นราวที่ผมถามสักอย่าง ท่านพูดสั้นๆไม่กี่คำ

“… คุณจำไว้ งานชิ้นนี้น่ะเป็นของคุณ ไม่มีใครรู้จักงานชิ้นนี้ดีเท่าคุณ และเหตุผลที่ทุกคนต้องมานั่งมารอฟังคุณ เพราะอยากรู้เรื่องราวของงานดีๆอีกชิ้นหนึ่ง อยากรู้ว่าคุณทำงานดีๆชิ้นนี้สำเร็จได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หน้าที่ของคุณที่ไม่กี่นาทีต่อจากนี้ คือแค่เล่าเรื่องราวดีๆเรื่องนี้ของคุณให้ทุกคนฟังด้วยความภูมิใจ”

เมื่ออาจารย์วางสายไป ผมเบลอครับ ด้วย “ความเครียดและความกลัว” มันค่อยๆเบลอหายไป กลายเป็น “ความกล้าและความมั่นใจ” ซึ่งไม่ไช่เกิดจากกำลังใจที่ได้รับ

แต่เกิดจาก“การรับรู้และสัมผัสได้”ถึง ความสุขและความเป็นจริงของงานวิจัยของตัวเอง ซึ่งไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่เวียนกลับมาอยู่ที่จุดเดิม

เป็นจุดที่ผมกำหนดเอง และยืนอยู่เอง

...

ตั้งแต่วันนั้นมาการพูดสำหรับผมกลายเป็นเรื่องของ การจัดการกับ“เรื่องราวที่มีความสุข”เพื่อมอบให้คนอื่นๆ และเป็นเรื่องของ“ความมั่นใจ”ที่สร้างให้กับตัวเอง...ในทุกๆครั้งที่มีโอกาสพูดในที่สาธารณะ

ไม่มีเรื่องของ “ความเครียดและความกลัว” อีกเลย

...

ไอสไตน์บอกว่าคนเราต้องรู้จักสัมผัสความเป็นจริง…

“...เมื่อเราเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆของส่วนรวม จะเอาความรู้สึกของเราเองมาตีค่าได้อย่างไรว่าความรู้สึกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของส่วนรวม จะขังตัวเองอยู่ทำไมกับความรู้สึกที่จริงๆแล้วอาจเกิดจากสิ่งอื่นหรือ คนๆอื่น”

Monday 2 November 2009

ความเชื่อมั่น บนจุดที่ยืนอยู่




เผลอแป๊ปเดียวเหลือไม่กี่สัปดาห์จะหมดปีอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมมานั่งไล่แผนการทำงานจนถึงปลายปี แทบจะไม่เหลือเวลาสำหรับปีนี้ซะแล้ว บางครั้งมานั่งนึก อยากให้ปีหนึ่งมีมากกว่าสิบสองเดือน แต่พอมานึกแบบถ้วนถี่ สิบสองเดือนที่ก็แทบจะเครียดตายอยู่แล้ว (จบๆไปเร็วๆก็ดี)

บางครั้งเราจะรู้จักตัวเองที่สุดก็จากคนอื่น เพราะคนอื่นคือคนที่มองเห็นเราแบบยุติธรรมไม่เข้าข้างตัวเองมากที่สุด ทุกๆปีในช่วงปลายปี ผมจะนัดน้องๆที่ทำงานทานข้าวเพื่อสังสรรค์ พูดคุย นอกจากเพื่อเป็นการถามสารทุกข์สุขดิบและทราบปัญหาแบบสบายๆกันเอง ยังเป็นการประเมินตัวเองแบบกังวลกังวลไปด้วย จนกลายเป็นประเภณีไปแล้ว ปีนี้ก็เหมือนกันครับ หลายคนหลายแผนก ส่วนหนึ่งที่มักได้ค้นและพบคือเราเป็นแบบที่เรามั่นใจว่าเราเป็นเราหรือไม่ หรือเขาเป็นแบบที่เรามั่นใจหรือเปล่า

จากหลายปีที่ผ่านมาทำให้ผมได้คำตอบที่เรียกว่าหลากหลายน่าสนใจ คือเราเป็นเราแบบที่เรามั่นใจมากกว่าการประเมินจากความไม่แน่ใจของคำตอบของคนอื่นๆ

ความมั่นใจของทุกคนสร้างได้ครับ ไม่ว่ากี่ปีจะเปลี่ยนไปหรืออยู่ที่ไหนก็ตัวเรา ท่องเอาไว้นะครับ

• อย่ากังวลว่าตัวเองต้องเพอร์เฟ็กท์ คำตอบของภาวะผู้นำหรือของธุรกิจไม่เคยมีอะไรที่ผิดเสมอหรือถูกเสมอ สิ่งที่ดีที่สุดคือรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่มากที่สุด ณ เวลาที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด แล้วตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจแล้วอย่าหันกลับไปมอง

• เรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดพลาดของตัวเอง ก็พลาดไปแล้วก็ต้องอยู่กับมัน ยอมรับมันนะครับ คนเราก็พลาดทั้งนั้น ยอมรับ เรียนรู้แล้วเดินต่อครับ

• ตัดสินใจอะไรไปแล้ว รับผิดชอบกับการตัดสินใจนั้นๆ ทำไปแล้วคือทำไปแล้ว อย่าไปกังวลกับมันว่าใครจะชอบใครจะไม่ชอบ

• ต้องเข้มแข็งอยู่เสมอ แข็งนอกอ่อนใน ยืดอกรับทุกสิ่ง

• หมั่นหาความสนุก ความสุขจากงาน ชีวิตมันสั้น จะคิดมากไปทำไม มีอะไรให้คิดให้ทำในหน้าที่การงานตลอดเวลา มีอะไรให้ค้นหาในตัวเองและเพื่อนร่วมงานเสมอ

ปีใหม่คือความมั่นใจใหม่ๆครับ...

มั่นใจในตัวเอง เพื่อให้คนอื่นมั่นใจในตัวเรา

Tuesday 27 October 2009

จดหมายฉบับหนึ่ง..ถึงน้องสาว




หวัดดีครับเซ่

วันนี้พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง

พี่เรียนเอกแบบจับพลัดจัลผลู คือตอนนั้นเมืองไทยโดนโรคต้มยำกุ้ง พี่ก็เพิ่งเรียนจบโท จะกลับบ้านก็ไม่มีงานทำ(สายอสังหา วิศวกร สถาปนิก ทุกคนตกงานหมด) พอดีมหาลัยให้ทุนเรียนต่อ ก็เรียนไปงั้น เผลอปุ๊บเดียวอีกห้าหกเดือนจะจบแล้ว ที่บอกจะจบเพราะส่งงานหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะเรียนแล้ว รู้สึกว่าตัวเองน่ะเป็นด๊อกเตอร์แล้ว รู้ทุกอย่างแล้ว

เบื่อนั่งๆนอนๆ รอนัดโพรเฟสเซอร์ 5 คนจากยูต่างๆล่วงหน้านานมาก เพื่อรอสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ครั้งสุดท้าย (เป็นรายการชี้เป็นชี้ตาย)

พี่เบื่อนานเข้าก็มีเวลามานั่งนึกว่าตัวเองอยากทำอะไร ชีวิตตัวเองในอังกฤษมี “สาระ” อะไรอีก นอกจากทำงานกับเรียน

พี่เลยเอาเวลาไปเรียนทำอาหารกับไวน์ที่ Le Cordon Bleu ครับ ขอบอกว่ามันส์มากก เรียนจบแล้วอยากเปิดร้านอาหารเลย (ทุกวันนี้ก็ยังยั่วตัวเองอยู่)

มีนักข่าวและน้องๆหลายคนมาถามว่าอะไรเป็น “สูตรสำเร็จ” หรือแรงบรรดาลใจในการทำงานของพี่ พี่ก็บอกว่า “ทำกับข้าว” เค้าก็ถามต่อแบบงงงงว่า “เหรอ แล้วทำกับข้าวนี่มันให้อะไรกับพี่ล่ะ แล้วไอ้ Le Cordon Bleu มันสอนอะไร เห็นดาราไฮโซเรียนกันเยอะ” พี่ตอบว่าเค้าไม่เคยสอน“สูตรสำเร็จ”อะไรนอกจากความสำคัญของการใช้ “มีด ไฟ อุณหภูมิ และรู้จักส่วนประกอบของอาหาร” ที่เหลือ คือ “จินตนาการ”

เซ่ครับ อาหารจะอร่อยหรือไม่ส่วนหนึ่งเริ่มต้นอยู่ถูก “เกลาหรือหั่น”อย่างไร จะใช้ไฟ “แรงหรือเบา”แค่ไหนในการปรุง และจะ”รอเสริฟ”เมื่อเวลาไหน อุณหภูมิเท่าไหร และที่สนุกคือส่วนประกอบแต่ละตัว ต้องการมีด ไฟ อุณหภูมิ “ไม่เหมือนกัน”

...

เซ่น่าจะเป็นคนคิดเยอะ เก่ง (แอบขี้เหงาและอ่อนโยน) ถ้าเป็นของกินน่าจะเป็นอะไรที่อร่อยได้ด้วยตัวเอง ถ้าอยู่ในกระบวนการก็น่าจะเหลาใกล้เสร็จแล้ว ไฟของจินตนาการมีอยู่เต็มที่ แถมมีบริษัทดีๆรอเสริฟอยู่ รออีกนิดน่าจะอร่อยขึ้นมั้ยครับ? (เพื่อรอเสริฟแบบอร่อยๆ ให้ใครก็ได้ในอนาคต)

...

แอบเล่าว่า 7-8 ปีที่พี่อยู่อังกฤษ ทุกๆปีสนุกมาก แต่6เดือนสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่พี่ได้อะไรกับชีวิตมากที่สุด ได้มากมาจนถึงทุกวันนี้ ได้เพราะมีเวลามานั่งคิดและทำสิ่งที่ตัวเองเพิ่งรู้ว่าพร้อมแล้วที่จะค้นพบ เป็นเวลาที่น้อยกว่า 1%ของทั้งชีวิตที่ตอบอะไรหลายๆอย่างแบบที่ตอนเรียนตอบไม่ได้



พี่ว่าตอนนี้เซ่มีเกือบทุกอย่างแล้ว รอแค่ใช้ “จินตนาการ” ว่าชิวิตตัวเองจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอให้ใครแนะนำครับ :)

พี่

Sunday 25 October 2009

9 หนทางง่ายๆ ไปสู่ความสุขในที่ทำงาน




มีงานวิจัยออกมาหลายชิ้นบอกตรงกันว่าตัวเราเองนี่แหละเป็น “กุญแจ” สำคัญไปสู่ความสุขและสนุกในที่ทำงาน เป็นความสุขแบบความสนุกบนจุดที่ยืนอยู่ครับ

ข้อแรก ลองคิดดูว่าเป้าหมายในชีวิตการทำงานของเราคืออะไร มองตัวเองอยู่ที่ไหนในห้าปี สิบปีข้างหน้า นั่นคือเหตุผลอย่างหนึ่งที่เราทำและเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ครับ

ข้อสอง เราก็เป็น “เจ้าของกิจการ” ได้ด้วยตัวด้วยใจของเราเอง ก็ของหรืองานอะไรบนโต๊ะนั่นงัยครับ “กิจ” และ “การ” ของเราทั้งนั้น

ข้อสาม คุยกับเพื่อนๆที่ทำงานดูสิ เค้ามีเป้าหมายอะไรและทำอะไรเพื่อเป้าหมายแบบเราบ้าง

ข้อสี่ ปรึกษาเจ้านาย ถึงแผนชีวิตการทำงานของคุณ รับรองว่าได้อะไรดีๆครับ

ข้อห้า อย่าบอกตัวเองว่าโน่นก็ยาก นี่ก็ยากก บอกตัวเองว่าอะไรๆก็ง่าย ที่ยากแค่ยังคิดไม่ออกเท่านั้น (เดี๋ยวมันก็คิดออก)

ข้อหก เล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หาแรงหนุน กำลังใจ อย่าเก็บงานตัวเองเอาไว้กับตัวเอง

ข้อเจ็ด คุยกับเพื่อนที่ทำงานที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้คุย (เพราะงานไม่ได้เกี่ยวข้องกัน) ปรึกษาคนแปลกหน้าในที่ทำงาน ถ้ามีปัญหา รับรองจะได้อะไรดีดีครับ

ข้อแปด มองโลกในแง่บวกเสมอ อะไรก็เกิดได้ อะไรก็ไม่แน่นอน เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและรู้ไว้ว่า ใจสำคัญที่สุด

ข้อเก้า ชักเริ่มสนุกแล้วใช่มั้ยครับ...

เดินต่อไป มองกลับไปข้อแรกเมื่อรู้สึกอยากสุข

ไม่มีทุกข์ในที่ทำงานครับ... นะครับ

Monday 19 October 2009

งานออกแบบ? นักออกแบบ?




เรื่องใกล้ตัวบางครั้งก็ดูเหมือนไกล สิ่งบางสิ่งที่อยู่ห่างออกไป บางครั้งก็แอบมาอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง

เคยถามตัวเองบ้างไหม อินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์ “เป็นใคร” มาจากไหน.. มัณฑนากร? สถาปนิกมืออาชีพ? หรือคือคนออกแบบตกแต่งภายใน ผู้รับเหมาอินทิเรียร์ หรือคนที่เคยเป็นนักศึกษาหรือที่เรียนมาทางสายออกแบบ (..หรืออาจไม่ต้องเคยเรียน) หรือจะเป็นใครสักคนก็ได้ที่รสนิยมดูดี

เคยถามตัวเองบ้างไหม อินทิเรียร์ดีไซน์ “คืออะไร” การออกแบบตกแต่งภายในให้สวย หรู แลดูชิค ฮิป เก๋ เท่? คอนเทมหรือโมเดิร์น หรือคลาสสิกมีคุณค่าไร้กาลเวลา หรือไม่ว่าจะคืออะไร เป็นอะไร จะแต่งอย่างไร วางอะไรตรงไหนก็ได้ที่เป็นตัวเรา ก็จะเอาแบบนั้น ก็มันชอบแบบนี้ แล้วใครจะทำไม

หลายปีที่ผ่านไปโลกมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เร็วและแรง ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางวิทยาศาสตร์ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องอะไรที่เป็นธรรมดาของชีวิต วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังทำให้เราเข้าใจร่างการ สรีระ ความสามารถและศักกายภาพของมนุษย์มากขึ้น และวิทยาศาสตร์ในหลายๆศาสตร์ทำให้เราเข้าใจและค้นพบมุมมองและพฤติกรรมของมนุษย์แบบที่ไม่เคยเข้าใจไม่เคยคาดคิดมาก่อนมาก่อน

วิทยาศาสตร์ทำให้อินทิเรียร์ดีไซน์ “เปลี่ยนไป” ทำให้คนที่เรียกตัวเองว่าดีไซเนอร์ต้อง “เปลี่ยนแปลง” ความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ทำให้อินทิเรียร์ดีไซน์มีความสำคัญมากขึ้นในมิติของสังคม

จากนี้ไปอินทิเรียร์ดีไซน์คงไม่ใช่แค่ทำอะไรให้ “สวยและดูดี” แต่ต้องปรับสมดุลของพฤติกรรมต่างๆของเราเพื่อช่วยให้มันดีขึ้น และต้องทำให้ “คุณภาพ”ของเราชีวิตดีขึ้น จากการที่เราเข้าใจ “ความหมายของคุณภาพ” ชีวิตมากขึ้นด้วยความก้าวหน้าและโลกที่เปลี่ยนไป

อินทิเรียร์ดีไซน์ต้องเป็น “ผู้นำ” ความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ “ผู้ตาม” เหมือนที่เป็นมา อินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์ต้องเข้าใจว่าออกแบบให้สวยให้มีสไตลย์น่ะ “ใครๆก็ทำได้” แต่สิ่งที่อยู่เหนือกว่าและสำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่เปลี่ยนไปของ “มนุษย์”
...
เพราะเรามีชีวิตที่ยาวนานขึ้น จำนวนคนก็มากขึ้น เมืองก็แน่นขึ้น

เพราะเรารู้จักใช้ชีวิตมากขึ้น จำนวนฟังก์ชันก็มากขึ้น ความจำเป็นก็มากขึ้นและลดลง

เพราะเราเข้าใจชีวิตของตัวเราและคนอื่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสำคัญนอกเหนือจากฟังก์ชันหรือความสวยงามก็มากขึ้น มุมมองจากคนอื่นก็มีที่ยืน มีเวทีให้เล่นมากกว่าเดิม

งานของอินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์นับจากนี้น่าจะมีจุดยืนอยู่ที่ความยาวนาน (Longevity) ทั้งในมิติของ “ความรู้สึกได้” และ “ความเป็นจริง”
...

เมื่อเมืองใหม่ชื่อซาชิในญี่ปุ่นทั้งเมืองสร้างจากโพลีคาร์บอน เทคโนโลยีที่คาดว่าจะพร้อมนำมาใช้ก็ในอีกสิบปีข้างหน้า เราออกแบบตอนนี้เพื่อรองรับอะไรในอนาคต และอนาคตคืออะไร

และเมื่อในแคลิฟอเนียร์มีพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่อยู่ใต้ดิน ใช้แสงธรรมชาติและอากาศจากภายนอกทั้งหมด เราใช้ตำรามาตราฐานเล่ม แนวคิดเดิมๆหรือตีลังกามุมไหนเป็นพื้นฐานการออกแบบ

ทั้งตอนนี้ในฮ่องกงเริ่มมีการออกแบบอพาร์เมนต์ให้มีส่วนหนึ่งของฟังก์ชันครัวกับห้องนั่งเล่น “หมุนรอบตัว” ได้เพื่อปรับเปลี่ยนทั้ง “อารมณ์” และ “ความเป็นจริง” ของห้องที่พื้นที่จำกัดเหลือเกิน

เมื่อมีพลาซ่าในดูไบที่ใช้เทนชันเมมเบรนซึ่งให้แสงสว่าง กันความร้อนในกลางวัน แต่หุบให้สวยได้และให้แสงทำหน้าที่เหมือน “ไฟถนน” ในเวลากลางคืนจากการเก็บพลังงานในตอนกลางวัน

เมื่อสถานียูเนียนสแควร์ในนิวยอร์กกำลังจะมีร้านค้าจำนวนมากเกิดขึ้น ร้านรวงที่ไม่ทำให้สถานีที่แน่นขนัดอยู่แล้วไปด้วยคนแออัดมากขึ้น(แต่กลับรู้สึกแออัดน้อยลง) ด้วยแนวคิดร้านหมุนตามแทรฟฟิกของคน ตามแทรฟฟิกของเวลา

และเมื่อตึกสถาปัตยกรรมไดนามิกแห่งหนึ่งในดูไบ ออกแบบให้แต่ละชั้นและแต่ละฟลอร์หมุนได้เป็นอิสระด้วยตัวเองตามแรงลม แล้วอินทิเรียร์จะฉีกโจทย์เรื่องทิศทาง แสง ลมและ “อารมณ์”ที่สัมผัสได้จากสถาปัตยกรรมภายนอกได้อย่างไร

เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำอย่างไรงานอินทิเรียร์ดีไซน์จะปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลง(แบบไม่เป็นผู้ตาม)

...

ทำอย่างไรให้ความหมายและวิธีการของงานอินทิเรียร์ดีไซน์คือ การปรับปรุงเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ไม่ใช่แค่ให้ความสวย

ทำอย่างไรให้มุมมองอินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์จะรักษาสิ่งดีดีที่มีคุณค่าที่ค้นหาแล้วค้นพบ และสามารถสะท้อนให้เห็นด้วยตัวงาน ไม่ใช่แค่นำเสนอด้วย “สไตลย์” หรือ “แนวคิด”

ทำอย่างไรให้ผลงานดีไซน์ที่ออกมาจะยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น น่าติดตาม ทำให้ทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าผู้ใช้หรือเจ้าของโครงการ เกิดความพึงพอใจ

ทำอย่างไรให้งานของเราทั้งหมดคือความภาคภูมิใจ น่าทึ่ง และน่าเคารพ

ทำอย่างไรให้เราทำหน้าที่สร้าง “ประสบการณ์ที่ดี” ให้คนรู้สึก “รับรู้ได้” เมื่ออยู่ในสเปซ เป็น “ประสบการณ์” ที่ยั่งยืนสักนิด แบบออกจากสเปซแล้วยังอด“คิดถึง”ไม่หาย

...

งานอินทิเรียร์ดีไซน์คือการ “ขอยืม” ประสบการณ์ของคนอื่นรอบตัว สถาปนิก วิศวกร เจ้าของโครงการ หรือผู้ใช้งานในอนาคต เอามาออกแบบ เอามาเกลา เอามาเหลาให้ดีขึ้น สบายขึ้น ง่ายขึ้น และแน่นอน ต้องดูดีขึ้น

อินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์ต้องเป็นผู้ที่รู้จักคนอื่นคนนั้นดีซะกว่าตัวเขารู้จักตัวเอง

พอยืม “ประสบการณ์” แล้วก็คืนกลับไปให้เป็น “สิ่งใหม่”
ได้รับแล้วเขาเหล่านั้นคงจะประทับใจ ที่รู้สึกว่าเราน่ะรู้จักเขาเป็นอย่างดี
..จนแอบ “คิดถึง”

...

ทีนี้รู้ตัวเองบ้างไหมว่า อินทิเรียร์ดีไซน์เนอร์ คือใคร

หรืออินทิเรียร์ดีไซน์คืออะไร

Sunday 18 October 2009

แอบคิดนิดหนึ่ง: งานประกวดรางวัลที่หังโจว





สัปดาห์นี้ผมมาเมืองจีนครับ เป็นการมาเมืองจีนที่แตกต่างจากที่ไปทุกๆปีที่ผมมักจะมุ่งไปที่กวางโจว (Goungzhou) เพื่อดูความมหัศจรรย์ของเฟอร์นิเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆของประเทศจีนในงานคันตงแฟร์และบิวท์เดค ปีนี้ผมเข้าร่วมงานสัปดาห์งานดีไซน์ที่หังโจว (Hangzhou) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน100%ดีไซน์เซี่ยงไฮ้ (งาน100%Design® จะจัดตามเมืองที่เป็นศูนย์กลางการออกแบบใหญ่ๆทั่วโลก เช่นลอนดอน โตเกียว นิวยอร์ก ฯลฯ) โดย Asia Pacific Federation of Architects and Interiors (APFAI) ที่มีผู้บริหารและออร์แกไนเซอร์จาก PARSON School of Design, New York และนิตรสารอินทิเรียร์ชื่อดังของโลก Interior Design® เป็นผู้จัดการและสนับสนุนครับ

ผลงานของบริษัทฯของผมเองได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายจากผลงานกว่าพันชิ้นในการแข่งขันประกวดผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมภายในของผู้เข้าประกวดของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง รวมทั้งเกือบทุกประเทศในเอเชีย ที่สุดหลังจากการเดินทางที่สุดแสนจะทุลักทุเล บินจากกรุงเทพต่อเครื่องสายการบินจีนที่กวางโจว (แวะค้างคืนอย่างฉุกละหุก เนื่องจากเจอพายุ) ก็เป็นที่น่าปลื้มใจที่บริษัทฯได้รับรางวัลใหญ่ คือรางวัล สถาปนิกยอดเยี่ยมอันดับ2 จาก 2009 Interior Design Awards for Elite ในกลุ่มงานสถาปัตยกรรมที่พักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูงมากที่สุด โดยมีผู้เข้ารอบสุดท้ายของกลุ่มกว่าห้าสิบบริษัทจากทั่วโลก

พูดก็พูดเมืองจีนเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมากครับ ปรับตัวเองจากผู้ผลิต ผู้ตาม เดินหาความเป็นผู้นำ ผู้พัฒนา การที่ APFAI เลือกหังโจวเป็นโฮสต์จัดงานครั้งนี้ก็เพราะเห็นภาพอุตสาหกรรมงานออกแบบและงานออกแบบสถาปัตยกรรมของเมืองหลายเมือง รวมทั้งเขตหังโจว ซูโจวและเขตเซี่ยงไฮ้ที่เปลี่ยนไปแบบดังกล่าว(อย่างแรง) จนทำให้ผู้นำของโลกด้านการออกแบบอย่างอิตาลี ฝรั่งเศส หรือประเทศอื่นในยุโรปและอเมริกาต้องหันกลับมามอง (อีกไม่นานอาจต้องวิ่งไล่ตาม ถ้ามัวแต่มอง) ดีไซน์เนอร์ชื่อดังเดี๋ยวนี้ก็อยู่แถวฮ่องกง สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ทั้งนั้น งานที่ดีๆ แลดูมันส์ๆก็มักมีให้เห็นจากภูมิภาคแถบนี้เป็นส่วนใหญ่ ก็คงด้วยการเงินและเศรษฐกิจของคนและธุรกิจแถวนี้ เดี๋ยวนี้ใครว่าเมืองจีนเชย ว่าไปว่าเดี๋ยวนี้โลกทั้งใบหมุนรอบเอเชียก็ไม่เกินความจริงครับ

คงต้องหันกลับมาดูว่างานออกแบบในบ้านเรามีความเป็นอินเตอร์ขนาดไหน จริงๆแล้วฝรั่ง(ทั้งประเภทหัวดำหรือหัวทอง)ยอมรับกันทั้งนั้นว่าดีไซน์เนอร์ไทยนั้นฝีมือดีมากแต่หาทางเกิดยาก (หาตัวไม่ค่อยเจอ หรือเจอแต่ยังไม่ใช่) ผมคิดว่าเพราะเวลาเราคิดงาน เรามักเดินวนอยู่กับตัวเองและไม่รู้จักผสมผสานความสามารถของความเป็นนักศิลปะหรือศิลปินที่มีอยู่ในตัวให้เข้ากับกระแสหรือความเป็นจริงอะไรที่เกิดอยู่รอบโลก ความภูมิใจในความเป็นไทยน่ะดีแต่ต้องรู้จักสิ่งที่อยู่รอบตัวแล้วแสดงออกมาแบบตามให้ทันด้วย จริงมั้ยครับ

Friday 16 October 2009

เครือข่ายสังคมออนไลน์ นโยบายบนความเป็นจริง




สองสามสัปดาห์มานี้ผมไม่มีเวลากับงานเขียนมากนัก โชคดีที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีออนไลน์ทั้งหลาย ไม่ว่ามือถือ สมาร์ทโฟน วายไฟ และโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทำให้เรื่องส่วนตัวและการทำงานหลายอย่างของผมถึงจะไม่ได้ราบรื่นนัก แต่ก็ไม่ถึงกับสะดุด

“คุณเล่นเอ็ม หรือเฟสบุ๊คหรือเปล่า” ดูเหมือนคำถามแบบนี้จะเป็นเรื่องปรกติไปแล้วสำหรับการสัมภาษณ์งานในยุคปัจจุบัน ผู้ถูกสัมภาษณ์มักจะตอบแบบกล้าๆกลัวๆว่า “เล่นครับ เอ่อแต่ก็ไม่บ่อย”

...ก็ว่ากันไป

“คือที่ถามน่ะ เพราะบริษัทสนใจคนที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหรือคุ้นเคยกับมันครับ”
“อ๋อ งั้นหรือพี่” ท่าทางเครียดน้อยลง
“ครับ ผมน่ะติดเอ็ม และใช้บีบีอับรูปขึ้นเฟสบุ๊กประจำเลยครับพี่”

...

เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเรื่องที่ธรรมดาและกึ่งจะจำเป็นไปซะแล้วในโลกทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีหลายๆบริษัท มีมุมมองหลายมุมและมีวิธีปฏิบัติกับพนักงานที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กในรูปแบบต่างๆกัน เพื่อนของผมคนหนึ่งทำงานในบริษัทออกแบบที่อเมริกาได้รับอนุญาติให้เล่นเฟสบุ๊กได้ไม่เกินสิบนาทีต่อวัน (แต่ก็ไม่ได้ห้าม) บริษัทไฟแนนซ์หลายแห่งในเมืองไทยบล๊อกเอ็มและเฟสบุ๊กอย่างเด็ดขาด อีกหลายบริษัททางวิศวกรรมในเมืองไทยปล่อยให้ใช้อย่างอิสระเพราะอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไรและพนักงานทำอะไรอยู่อีกด้านหนึ่งของคอมพิวเตอร์ส่วนตัว บริษัทใหญ่เล็กที่ทำทางด้านสื่อ มีเดีย หรือประชาสัมพันธ์ โฆษณา กำหนดว่าพนักงานรุ่นใหม่ๆต้องรู้จักสามารถใช้เว็บและโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อการทำงานวิจัยตลาดและพูดคุยติดต่อกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับองค์กรต่างๆ เรื่องของเครือข่ายสังคมออนไลน์ขณะนี้กำลังกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาและควรมีรูปแบบกำหนดการใช้งานได้ตรงกับเป้าหมายและนโยบายองค์กร เมื่อเรื่องที่ “ธรรมดา” ของโลกปัจจุบันกลายเป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ที่ทุกๆองค์กรควรรู้ เข้าใจและสามารถกำหนดเป็นแนวทางได้

...

ไม่ว่าจะเป็นแนวทางแบบ “อยากให้คุณรู้ว่าเราอยากให้คุณใช้ (เครือข่ายสังคมออนไลน์)” แต่คุณจะใช้ให้เป็นและใช้อย่างมีประโยชน์ได้อย่างๆไร

หรือเป็นแนวทางแบบ “อยากให้เข้าใจวิธีการใช้งาน” มากน้อย ถี่บ่อย แผนกใดใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ไหน ในเครื่องมือในเครือข่ายประเภทใด (ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเล่นแต่เกมส์) ขอบเขตอยู่ที่ไหน

ทั้งเป็นแนวทางแบบ “อยากให้เข้าใจ อยากให้คุณรู้จักแยกแยะการใช้งานส่วนตัวและการใช้เรื่องงาน” จะมีกี่บัญชีชื่อ กี่แอ็กเค้าก็ว่ามา
และเป็นแนวทางแบบ “อยากให้เข้าใจว่ามีความเสี่ยงจากการใช้งาน” ไม่ว่าไวรัส หรือความลับบริษัทรั่วไหล และเราจะช่วยกันป้องกันอย่างไรดี

สุดท้าย คืออยากให้เข้าใจว่า “ถ้าคุณสามารถใช้ประโยชน์จากเจ้าเครือข่ายสังคมออนไลน์เหล่านี้ได้ บริษัทจะมองเห็นคุณค่า” และพร้อมที่จะตอบแทนพนักงานในรูปแบบต่างๆ

...

กำหนดแนวทางได้ดี ทำให้พนักงานเข้าใจและเชื่อมั่น สุดท้ายนโยบายเหล่านี้จะให้ผลเลิศกับองค์กรเอง

เรามาลองใช้ประโยชน์แบบจริงจังจากเครือข่ายสังคมออนไลน์กันดีมั้ยครับ

Design Is.. Milan Salone Internazionale del Mobile (ตอนที่ 3) 09-10-09




อีกไลท์ติ้งแบรนด์ๆหนึ่งที่น่าสนใจและได้นำเสนอในงาน EUROLUCE เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของมิลานแฟร์ 2009 ที่ผมอยากจะกล่าวถึงคือ ฟอนทานา อาเต (Fontana Arte) ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบผลิตไฟและระบบแสงสว่างมานานหลายร้อยปีครับ ผลงานที่โดดเด่นที่ทำให้แบรนด์ Fontana Arte นี้เป็นที่รู้จักคืองานออกแบบแสงและทิศทางของแสงผ่านของอีเลเมนต์ภายในสถานที่สำคัญต่างๆ งานแสตนกล๊าสในโบสถ์เมืองมิลาน ดูโอโม ซึงยังเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นนักออกแบบทิศทางของแสงที่ไม่เป็นสองรองใครในยุโรปหรือในโลกมาจนถึงทุกวันนี้

Fontana Arte เป็นแบรนด์รู้จักดีในแก่การนำเสนอการออกแบบดวงโคมเก๋หรู จนที่ยอมรับของนักสะสมเฟอร์นิเจอร์ในยุโรป และเริ่มฮิตในเอเชียและอเมริกา

สำหรับงานที่ Fontana Arte นำเสนอในงานแฟร์ครั้งนี้สร้างสรรค์โดย นักออกแบบและสถาปนิก Piero Russi โดยตั้งใจนำเสนอให้เห็นถึงความผสมผสานของวัฒนธรรมการทำงานของนักออกแบบในนามของฟอนทานาเองในอดีตผ่านการเน้นย้ำให้เห็นถึงรากเหง้าของโครงการต่างๆในโลกปัจจุบันโดยนำเสนอออกมาเป็นลำแสงที่ส่องกระทบลงบนอีลีเมนต์รูปไข่ที่ต้องการ งานของฟอนตานาอาเตยังมีอีกหลายชิ้นที่นำเสนอโดยศิลปินนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เต้มไปด้วยความสามารถเช่น Marco Acerbis, Marco Merendi, Matteo Nunziati, Julian Pastorino & Cecilia Suarez, Piero Russi, Gabi Peretto, Maurizio Quargnale, Marco Zanuso Jr. หรือ นักออกแบบสถาปนิกชื่อดังอย่าง Arquitectonica/arch. Laurinda Spear จาก Miami และ lighting specialists อย่างบริษัทสถาปนิก Dante Bonuccelli ผู้เพิ่งสร้างชื่อจากงานในมิลานเองอย่างมหาวิทยาลัย Bocconi และการออกแบบแสงให้กับ Politecnico ที่เมือง Bovisa. งานของฟอนตานาอาเตครั้งนี้แตะและเตะตา ด้วย เชฟของวัสดุผสมอลูมินัมและไฟเบอร์กล๊าสที่ต่อเนื่อง เร้าใจของกระจกผสมแก้วขึ้นรูป ด้วยวัสดุดังกล่าวทำให้งานที่ออกมาใช้พลังงานต่ำแต่มีการกระจายตัวของแสงดีมาก

ที่สะดุดตามาอีกชิ้นหนึ่งคือแผ่นกระจกดิสก์ 11 แผ่นที่นำมาประกอบกันด้วย stratified glass sheet ที่หนักถึง 450 กิโลกรัม แต่แต่ละแผ่นหมุนรอบตัวเองเหมือน satellites ในท้องฟ้า

งานแฟร์แต่ละครั้งมีรายละเอียดมากมายที่น่าสนใจเล่าไม่หมดจริงๆครับ ครั้งต่อไปผมอยากจะพูดถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์แบรนด์หนึ่งซึ่งหลายๆท่านเป็นแฟนพันธ์แท้ แบรนด์นี้มักได้รับงานออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์หรูในรถยนต์หรู เรือสำราญ เครื่องบินส่วนตัวของบุคคลสำคัญ หรือแม้แต่ในชั้นหนึ่งหรือชั้นธุรกิจของหลายสายการบิน แล้วพบกันครั้งหน้านะครับ

Sunday 30 August 2009

ความรู้สึก 7 แบบ ที่บอกได้ว่าเรากำลังหาเรื่องสร้าง “ความเครียด” ในที่ทำงานให้กับตัวเอง




“รู้สึกว่าเงินเดือนน้อย รายได้ไม่พอใช้”
เรื่องจริงคือไม่มีใครหาเงินพอใช้นะครับ พูดให้เข้าใจอีกทีคือไม่มีใครในโลกรู้ว่าคำว่า"พอ"คืออะไร คือ"จุดไหน" คือ"เมื่อไหร่"

“รู้สึกขาดความรัก”
นายรักและโปรดปรานคนอื่นมากกว่า (รู้ได้งัย อาจเป็นคุณก็ได้) เพื่อนรักและชอบคุยคนอื่นมากกว่า เพื่อนหักหลัง (รู้สึกระแวง จะถูกหักหลัง)

“รู้สึกว่าแผนก หรือฝ่ายของตัวเป็นลูกเมียน้อย”
ฝ่ายโน้น แผนกนี้ได้อะไรเยอะกว่า ที่ทำงานดีกว่า ได้ของใช้ โบนัส ค่าตอบแทนดีกว่าทั้งๆที่ทำงานน้อยกว่า (โอย เลิกคิดแบบ"เด็กๆ"แล้วรู้จักโตซะทีเถอะ)

“รู้สึกว่านายซาดิสต์”
(บ้าสั่งงานเหลือเกิน มาทำเองมั่งสิวะ) นายทำตัวเป็นเด็ก เอาแต่ใจ สั่งงานแต่ไม่เคยสอน ไม่เคยบอกว่าทำอย่างไร ใจเย็นๆครับ ลองเช็คอัตราการว่างงานดู ตอนนี้เฉลี่ยเมืองไทยอยู่ที่เกือบ 5% แยกย่อยเป็นอุตสาหกรรมต่างๆตัวเลขยิ่งสูง (เรื่องบางเรื่องก็เลือกมากไม่ได้นะ)

“รู้สึกว่างานเยอะ เวลาน้อย”
อะไรมันจะแย่ขนาดนั้น แล้วรู้จักวางแผนหรือยัง หรือคนอื่นทำไม่ได้ เราก็เลยต้องทำไม่ได้ไปด้วย แล้วคนอื่นน่ะมันคิดเหมือนเราหรือเปล่า

“รู้สึกเริ่มเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้”
แหม.. เรื่องแบบนี้ก็เกิดกับทุกคน ปนกันไปทุกที่ จะไปคิดทำไม ปรับตัวสิครับ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

“รู้สึกพูดอะไรไปผู้บริหารไม่ฟัง”
รู้มั้ยครับผู้บริหารก็มนุษย์ มีเรื่องอื่นทำในชีวิตเหมือนกัน บางบริษัทก็บริหารโดยคนดี คนเก่ง บางบริษัทก็บริหารโดยพวกผู้บริหารที่แย่ๆ (ถึงแม้อาจจะเก่ง)

ลองดูสิครับ ถ้าเราเจอประสบการณ์ หรือเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้สักสองสามข้อแล้วสู้ไม่ไหว ก็ลองหางานใหม่ เมื่อลองเปลี่ยนงานแล้วไม่เจออีก แสดงว่าไอ้บริษัทเก่านี่มันแย่ อาการหนักแล้ว ปล่อยให้มันเจ๊งไปเถอะ แต่ถ้าเปลี่ยนงานแล้วก็เจอเรื่องเดิมๆอีก แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเราเอง และอย่าหาเรื่องเริ่มต้นความรู้สึกที่ไม่สร้างสรรค์แบบนั้นอีก

คิดมากก็ปวดหัวปรับตัวดีกว่า (จะได้ไม่ต้องเครียด ปวดหัว)

ทุกอย่างอยู่ที่ใจนะครับ

Friday 21 August 2009

ชวน + เชื่อ




สังคมไทยหรือสังคมคู่ขนาน เป็นสังคมหมุนรอบตัว เป็นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มองไปทางไหนก็เจอคนโน้น รู้จักคนนี้ ทั้งการเมือง ธุรกิจ รวมทั้ง “การเมืองเรื่องธุรกิจ”

เมื่อเป็นเรื่องของครอบครัว การพูดคุย บอกต่อ แบบปากต่อปาก (viral and verbal) หรืออะไรที่ได้ยินจากคนในครอบครัว จากคนใกล้ตัว ไม่ว่าเรื่องอะไร หรือประเด็นใดในสังคม จึงกลายเป็นสื่อที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

เป็นสื่อที่สามารถเปลี่ยน “ประเด็น” ที่กำลังเกิดขึ้นให้กลายเป็น “กระแส”

เป็น “กระแส” ที่สามารถถูก “บิด” ให้ “ประเด็น” แกล้งทำเป็นลืมความจริง

...

Public Relation, Advertising และ Propaganda เปิดดิกเล่มไหนก็แปลคล้ายๆกัน มีความหมายในภาษาไทยที่หน้าตาเหมือนๆกัน คือการประชาสัมพันธ์ ชวนเชื่อ

Public Relation คือความพยายามของ “ขยายและเขย่า” ประเด็นต่างๆบนพื้นฐานของความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าเรื่องปั้นแต่ง

Propaganda คือความจงใจในการ “ชักชวน” ทำให้เชื่อ ทำให้หลง บางจังหวะทำให้ “งงงง” ในพฤติกรรม สิ่งต่างๆหรือแนวคิดที่เกิดจากการปั้น

Advertising คือการเชื่อมต่อความรู้สึกของคนกับสิ่งอื่น คือการ “เกลาและเหลา” ภาพของความรู้สึก ความต้องการของคน ให้ “คม” ให้จับต้องได้

...


ถ้าบอกว่ามาจากครอบครัวเดียวกัน Public Relation น่าจะเป็นแค่รุ่นลูก อยู่คนละระนาบกับ Propaganda และ Advertising

ถ้าการบอกว่าการทำ Public Relation ทำให้เกิดความรับรู้ด้วย “การยอมรับ” และให้เกียรติ เป็นตัวแทนของภาพดี (positive) ต่างจาก Propaganda ที่เกิดจาก “การยัดเยียด” ด้วยวิธีที่แยบยล เหมือนเล่นซ่อนแอบ เล่นขายของ หรืออะไรสบายๆแบบที่สังคมไทยชอบเล่น เป็นตัวแทนของอีกด้านของภาพลบ (negative reverse)

และถ้าบอกว่า Advertising คือลูกล่อลูกชนที่หลายๆคนชอบเอามาแอบใช้ ที่บางครั้งต้องเล่นบทดี บางครั้งต้องเล่นบทร้าย

ต้องเข้าข้างทั้งพ่อและลูก (ยังไง มันก็ครอบครัวเดียวกัน)

...


คำถามคือสำหรับครอบครัวนี้ ถ้าต้องรู้จักกันไว้สนิทสนมกันไว้แบบไทยๆ เราจะเลือกพูดคุยกับใครก่อน

สำหรับ Propaganda ความสำคัญไม่ใช่เรื่องของ “เนื้อหา” แต่เป็นกระบวนการแบบ “ชวน” เพื่อให้ “เชื่อ”

ผิดหรือไม่ถ้าผู้บริหารระดับสูงพูดทุกวันถึงความบรรเจิดขององค์กรจากการบริหารแต่ไม่เคยเห็น ไม่เคยบอกว่าจริงๆแล้ววันๆทำอะไร หรือบริษัทที่กำลังจะเข้าตลาดตีฆ้องร้องป่าวถึงอนาคตอันก้าวไกลของหุ้นก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ (ก็ กลต. ท่านสั่งมานิ)

หรือถูกแค่ไหน ที่นักการเมืองบางคนให้เหตุผลการตัดสินใจเรื่องสำคัญระดับชาติด้วยการบอกง่ายๆว่า “ก็ประเทศอื่นเค้าก็ทำกันแบบนั้น” หรือ “ทีคุณก็เคยทำแบบนี้” หรือคนบางกลุ่มยังคิดแบบเดิมๆว่าองค์กรของผู้ถืออาวุธคือ “ฮีโร่” ผู้รับผิดชอบต่อการแก้วิกฤตของชาติ หรือนักการเมืองอีกคนที่ทำโพล์เพื่อหวังได้ประโยชน์จากการพีอาร์สถาบันที่ทำโพล์มากกว่าสนใจให้คนรู้ผลของโพล์ (เลยเสนอผลการสำรวจโพล์แบบมั่วๆ... เก่งจริงๆ)

แต่ Public Relation เป็นเรื่องของเนื้อหา ด้วยกระบวนการแบบทำให้รู้สึกว่า “เชื่อ” แล้วหวังว่าคงจะเอาไป “ชวน(ต่อ)”

ผิดมากหรือ เมื่อข่าวบางเรื่อง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแต่ทำให้มันเป็นเรื่อง (ต้องเกาะกระแส เดี๋ยวคนลืม)
ถูกหรือเปล่า เมื่อเรื่องดีๆหลายเรื่อง ควรจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำน่าติดตามเอามาบอกต่อ แต่สำหรับสื่อบางสื่อมองว่าคือสิ่งเหล่านี้ที่ไม่มีคน(ใคร)สนใจ คนไม่เสพ

เมื่อ Advertising “เน้น”ที่เนื้อหา เอามาทำให้มัน “ดูสำคัญ” โดยวิธีแบบที่เรียกว่า บางครั้งต้องชวนก่อนเพื่อให้เชื่อ บางครั้งทำให้เสมือนว่าจริงๆตัวเองน่ะเชื่ออยู่ก่อนแล้ว ก็เลยมั่นใจไปชวนคนอื่น


...


สังคมไทย ธุรกิจแบบไทยๆ จะคุยกับใคร ฟังจากที่ไหน ถึงจะรู้จะเข้าใจว่าเป็นกระแส หรือความเป็นจริง?

Thursday 13 August 2009

ชีวิตอาจไม่ใช่แค่"การเรียนรู้" แต่การเรียนรู้คือการ"ทำความรู้จัก"กับชีวิต




ต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่าเราอาจเข้าใจผิด

อาจจะผิดตั้งแต่แรกที่ตะบี้ตะบันตั้งเป้าเรียนรู้ ตาม"ธง"ที่มีคนตั้งให้ตั้งแต่เด็ก

ลองนึกดูเล่นๆ วันนี้เราเป็นอยากที่เราอยากเป็น เราทำอย่างที่เราอยากทำ เรารู้อย่างที่เราอยากรู้
เพราะมีคนบอก เพราะมีคนชี้

หรือเพราะเรามีความรู้สึกอยากเป็น อยากทำ อยากรู้ ด้วยตัวของเราเอง จากการรู้จักท้าทาย ผสมผสานเรื่องราวต่างๆ สิ่งต่างๆที่มีคนบอก มีคนชี้

..ออกมาเป็นสิ่งที่เป็นตัวของเราเอง

...

สังคมไทยมีข้อสมมติฐานที่ว่า "เรียนรู้คือเรื่องในระบบ เมื่อเรียนจบแล้วก็เลิกกัน"

เพราะสังคมไทยส่วนหนึ่งขีดเส้นใต้คนในสังคมด้วย "ชนชั้น"

"ชนชั้น" ของ ปวช ปวส ปริญญา ตรี โท เอก
"ชนชั้น" ของ โฟร์แมน วิศวกร หมอ นักการเมือง ข้าราชการ กรรมกร คนกวาดถนน
"ชนชั้น" ของ ยี่ห้อเด่นดัง แพง ถูก

เป็นการขีดเส้นใต้คนในสังคมแบบครอบงำ ที่ไม่ทำให้คนรู้จักคิด ไม่ส่งเสริมให้คนรู้จักใฝ่หาและเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาสร้าง"มูลค่าเพิ่ม" แต่เป็นการบอกคนในสังคมแบบอ้อมๆว่า "มูลค่า"ของตัวเอง"เพิ่มได้"จากการยกระดับตัวเองขึ้นไปอยู่อีก"ชนชั้น" และเป็นการบอกตรงๆว่าเมื่อก้าวข้ามไปอยู่อีก"ชนชั้น" การเรียนรู้ก็คงจบ (แบบโกหกตัวเอง)

เป็นสมมติฐานที่สมมติว่าคุณค่าจริงๆ ของตัวเอง ผูกอยู่กับสิ่งที่คนอื่นกำหนด
เป็นสมมติฐานที่ทำให้คนในสังคมไม่รู้สึกภูมิใจคุณค่าจริงๆจากตัวตนของตัวเอง

...

หลังจากทำวิจัย เก็บข้อมูลมาหลายปี เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกมาด้วยกันยืนรอให้กำลังใจหน้าห้อง ก่อนที่ผมจะขึ้นสอบป้องกันวิทยานิพนธ์

"งานของคุณน่ะ ใครๆรู้ว่าดีอยู่แล้ว แต่พอสอบผ่าน มันก็จะล้าสมัยทันทีนะ"

ตอนนั้นคิดว่า โห ไม่ช่วยแล้ว ยังมาทำลายขวัญ

ตอนนี้ก็ยังนึกถึงอยู่เหมือนกัน แต่นึกแบบ อิช์ค AF6 พูดตอนหันหลังกลับเดินออกจากบ้าน

"หึ คนที่ยังอยู่ต่อน่ะ.. มันเจ็บ"

นึกแบบว่ารู้แล้วว่าการเรียน ร้อง เล่น เต้นระบำ (เพื่อเดินหาตามความฝัน) น่ะ

"มันยังไม่จบแค่นี้"

...


การเรียนรู้คือการทำความรู้จักกับชีวิต

เรียนรู้ว่าความหมายของคำว่า "รักพ่อ รักแม่" เป็น"อย่างไร" โดยการแปลความหมายของคำว่า"รัก" จากการสัมผัส จากความผูกพัน จากความเอาใจใส่ ไม่ใช่แค่"คืออะไร" แค่จากการฟังคำบอกเล่าของคนอื่นว่าถึงคุณค่าของพ่อแม่ จากคำอธิบายถึงเรื่องของ "บทบาท" และ "พระคุณ"

เรียนรู้ว่าความรักมีหลายมิติและมีการเติบโต เมื่อมีหลายมิติก็มีหลาย"มุม"ให้"มอง" เมื่อมีการเติบโตก็ไม่แปลกที่จะมีการ"เปลี่ยนแปลง"

พูดถึงเรื่องรัก ในหลายมิติ "เงิน"เป็นเรื่องสำคัญ แต่พอเติบโตขึ้น เงินก็อาจไม่ใช่ หรือสำคัญน้อยลง หรือในบางมิติที่ "เวลา"คือความสำคัญ แต่พอเรียนรู้มากขึ้น บางทีก็อาจจะไม่

...

ชีวิตจริงๆแล้วคือการเรียนรู้

คือการเรียนรู้ว่าปริญญาไม่ใช่เป้าหมาย เรียนรู้ว่าเรื่องหลายเรื่องใน "สังคม" เป็นแค่ภาพลวงตาที่มีคนตั้งธง"ชนชั้น"เอาไว้ให้

คือการเรียนรู้ว่า"มูลค่าเพิ่ม" สร้างได้ "โดยตัวเอง เพื่อตัวเอง"
โดยการทำความรู้จักกับชีวิตตัวเองให้มากขึ้น

รู้จัก"ความรักในการเรียนรู้ "และพร้อมเสมอที่จะ"เรียนรู้เพื่อจะได้รัก"
ไม่ว่าเรื่องใดๆที่"แวะ"เข้ามาทำความรู้จักกับชีวิต

Wednesday 29 July 2009

Design Is.. Milan Salone Internazionale del Mobile (ตอนที่ 2) 28-07-09





งาน Salone internazionale del mobile 2009 ที่ผ่านมา นอกจากจะมี furniture จากแบรนด์ดังต่างๆทั่วทุกมุมโลกมาอวดโฉม โชว์ผลงานให้คนทั่วโลกที่เฝ้ารอในปีนี้ได้ดูศักยภาพ ความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เทคนิควิธีการผลิตที่ทันสมัย รวมไปถึงรูปแบบงาน design ที่เรียบง่ายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของผู้ใช้สอยในปัจจุบันแล้ว ลักษณะของงานออกแบบก็เริ่มที่จะตัดทอน ลดรายละเอียดที่ยุ่งยากให้น้อยลงไปอีกมาก มีการเพิ่มอุปกรณ์เทคโนโลยีให้มีความสะดวกสบายทันสมัยมากขึ้นครับ

งานออกแบบที่น่าสนใจมากอีกส่วนหนึ่งคืองานออกแบบแสงหรือ lighting ซึ่งก็มี 2 แบรนด์ใหญ่ๆและมีชื่อเสียงได้แก่ Artimede และ Fontana arte ทั้งสองแบรนด์ เป็นบริษัทที่ออกแบบ lighting design ให้กับ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนใหญ่ทั้งอิตาลีและต่างประเทศ

ในงาน Milan fair 2009 นี้ ทาง Artimede ก็ได้มีผลงานออกแบบทางด้าน lighting ออกมาแบบน่าสนใจ ซึ่งมี designer ชื่อดังจากฝั่งอังกฤษมาร่วมงานกับทาง Artimede เพื่อหาจุดบกพร่องและเติมเต็มบริบทหลักของ streamlined design ของ Artimede

โคมไฟ cosmic angels คือผลของความพยามยามของชิ้นงานนี้ ซึ่งได้ถูกผลิตออกมาทั้งการติดตั้งสำหรับ ฝ้า ผนังและพื้น โคมไฟ cosmic angels ได้รับแรงบัลดาลใจจาก packaging ของ Greg’s lunne coffee service ที่ไม่อยากให้วัสดุที่ออกแบบมีมากมายหลากหลายเกินไป เลือกใช้พลาสติกที่มีลักษณะใสๆ shape จะมีลักษณะย้วยเหมือนหยดน้ำ คล้ายๆกับลักษณะของของเหลว โดยมี lighting ส่องไลท์มากับตัว texture ทำให้เกิด volume ดูหน้าสนใจ เทคนิคนี้ยังมีการเคลือบแบบ frosting ที่พื้นผิวทำให้ผิวหน้าของวัตถุเกิดการจับแสง จึงเป็นที่มาของ cosmic angels

สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับผลงานของเธอเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบสถาปัตยกรรม สำหรับ Artimede เราจะพบว่า งานออกแบบ furniture หรืองานออกแบบ product จะมีลักษณะ design เฉพาะตัว ดูเป็นเอกลักษณ์ ประจำตัวสำหรับเธอไปแล้ว ด้วย design ที่โฉบเฉี่ยวล้ำหน้าไปอนาคต ซึ่งก็มีหลายๆงานของเธอได้สร้างจริงไปแล้ว คือ ZAHA HADID ที่ในปีนี้ทาง Artimede ได้รวมมือกับ ZAHA ออกแบบโคมไฟ Genesy มาอวดโฉมกัน

Concept ของ Genesy คือ การเจริญเติบโตของต้นไม้ที่มีการแตกกิ่งก้านสาขาออกมา มีลักษณะ shape แบบลื่นไหล เริ่มโครงสร้างที่แข็งแรงมาจากฐานด้านล่างและค่อยๆตัดทอนในส่วนของลำต้น จากนั้นก็มีการแตกกิ้งก้านออกมาเพื่อ Support ลำต้น ของโคมไฟนั้น แต่ต้น Genesy มีลีลาไม่ธรรมดาตรงที่ว่ามีการนำเอา Technology LED ที่สุดแสนจะฮิตเข้ามาร่วมในงานออกแบบแสงสว่างด้วย โดยมีการเปิด ปิด หรือหรี่ไฟด้วยระบบสัมผัสครับ

พูดถึงงานมิลานแฟร์หรือแม้แต่งานออกแบบสถาปัตยกรรมภายในสมัยใหม่ในบ้านเรา งานออกแบบ lighting คือส่วนผสมที่มหัศจรรย์ทำให้งานออกแบบหรือสเปสที่ดูธรรมดาๆกลายเป็นเรื่องราวใหม่ซึ่งมีอะไรที่น่าตื่นตา ตื่นใจและตื่นเต้น แล้วคุยกับฉบับหน้านะครับ

Monday 11 May 2009

Design Is.. Milan Salone Internazionale del Mobile (ตอนที่ 1) 11-05-09



ปีนี้งานแฟร์ที่มิลาน หรือ Milan Design Week 2009 ถึงแม้จะไม่คึกคักในแง่ปริมาณ(คน) แต่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระไม่ทำให้ผิดหวังเหมือนเช่นเคยครับ เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังขนเอาของมาโชว์พลังตบเท้ากันพรึบผรับ มีผลงานของดีไซเนอร์คนดัง ที่นำเสนอหลากหลายแลดูอลังการงานสร้าง หรือทั้งในแบบสวยพอเพียง สมราคางานใหญ่แห่งปีที่คนในวงการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในและคอเฟอร์นิเจอร์ไม่อยากพลาด

ถ้าพูดถึงแทรนด์ของงาน ต้องบอกว่าภาพรวมเกาะกระแส eco-architecture หรือ green design ไปกะเค้าด้วย แหม ตอนนี้อะไรอะไรก็ต้องสิ่งแวดล้อมมาก่อนจริงมั้ยครับ อย่างไรก็ดีจะดูเฟอร์นิเจอร์อิตาลีให้เข้าใจต้องดูเข้าไปลึกถึงตัวตนหรือ identity ของแต่ละแบรนด์ (เนื่องจากแต่ละแบรนด์ไม่นิยมอิงกระแสอะไรมากนัก มักยืนยันหรือแทรกซึมความเป็นตัวของตัวเองลงในงานแต่ละคอลเลคชั่นมากกว่า)เอาให้เข้าใจจริงๆต้องดูด้วยว่าดีไซเนอร์คนไหนออกแบบ มันถึงจะเห็นภาพว่าเฟอร์นิเจอร์ตัวนั้นมันใช่เราหรือไม่ แหม ก็เฟอร์นิเจอร์ต้นทุนสูงแบบนี้ ซื้อไปก็เหมือนกับการลงทุนนะครับ งานเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์แบบนี้เลือกชิ้นที่เราชอบ ที่เหมาะกับเรา ที่มีอัตลักษณ์ของเรา จริงๆ ยิ่งอยู่กับเรานาน จะยิ่งมีราคาต้นทุนที่สูงขึ้นครับ

ปีนี้ภาพรวมของดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่แบรนด์หลักๆ เช่น พวก B&B Italia หรือ Minotti และ Natuzzi เห็นได้อย่างชัดเจนคือแทรนด์ของการออกแบบที่ลงลึก แบบถึงไหนถึงกัน งานเก็บรายละเอียดชัดเจนมากขึน ลวดลาย pattern ใหญ่ๆไม่ว่าของหินหรือกระเบื้องก็ลดลง สำหรับลายไม้ มีการลดทอน(หรือบางทีก็ลบเลย)รายละเอียดของลายออกไป และใช้แว่นขยายส่องดูที่ grain แบบดุดัน จงใจครับ

เฟอร์นิเจอร์สำหรับแบรนด์ประเภท Moroso หรือ Edra หลายชิ้นงานยังคงไว้ซึ่งความกล้าใช้กล้าทดลอง หลักการของ Illusion ชัดเจนมาก ในแบรนด์บางแบรนด์ "หลอก" กันเห็นๆนึกว่าเป็นไม้แต่ไม่ได้ใช้อะไรเกี่ยวกับไม้สักนิด หรือบางแบรนด์โชว์ว่าเป็นเอเชียแต่จริงๆเป็นฝรั่งตั้งแต่ข้างในยันข้างนอก Kartell มาแนวขอบคุณครับพี่น้อง คอนเซ็ปแรงเหมือนเดิม โชว์ความเป็น human ของคนทุกแบบทุกประเทศสะท้อนออกมาในอารมณ์โต๊ะเก้าอี้

เกือบทั้งหมดของเฟอร์นิเจอร์แบรนด์เนม ผลงานที่มาโชว์เน้น "ดีเทล" ครับ จับประเด็นโดยการ "ซูม" ไปที่ไหนก็เจอ component ขยายขนาดยักษ์ ทั้งนี้ยังรวมถึงโคมไฟ สวิตท์ ปลั๊ก หิน หรือแม้แต่มือจับ

สิ่งที่ทำให้งานมิลานแฟร์น่าสนใจคือ งานนี้ไม่ใช่จัดเพื่อแค่ขายของครับ งานมิลานแฟร์คือเวทีที่สตูดิโอต่างๆจะเสนองานหรือแนวคิดอิงกระแสที่ยังอยู่ในช่วง Prototyping เพื่อหยั่งเสียงดูว่าชาวบ้านในวงการเค้าคิดกันอย่างไร สำหรับสตูดิโอดังๆอย่าง Established & Sons ของสองพี่น้องชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในอังกฤษ ที่เอาไม้แผ่น American Tulipwood คละขนาดมาทำเวทีที่ออกแบบโดย Alan Dempsey และ Paul Loh เพื่อสื่อให้เห็นถึงวิธีนำเสนอเฟอร์นิเจอร์แนวคิดใหม่สำหรับคอลเลคชั่นต่อไปของสตูดิโอ หรือดีไซเนอร์ Amada Levete ที่เอาหินเทียมโคเรียนบางเฉียบ(เป็นไปได้งัย) มาทำเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่ปูดออกมา(แบบสวยๆ) จากผนัง และใช้ไฟ LED เพื่อหักเหมุมมองของผู้อยู่ในห้องเมื่อเปลี่ยนมุมไปนั่งในที่ต่างๆของห้อง งานที่ผมประทับใจอีกชิ้นคืองานของ Mario Bellini ที่เอาเหล็กไวร์เมช(แบบที่ใช้ในงานก่อสร้างนั่นล่ะครับ)มาrecycle แล้วเอามาทำโซฟาเรืองแสงพลังงานต่ำ งานเก๋ไก๋ชิ้นนี้กำลังได้รับการพัฒนาเชิงการค้าต่อโดย สตูดิโอ Meritalia ในอิตาลีครับ

มิลานแฟร์ปีนี้ ยังพิเศษที่มีงานโชว์ที่เกี่ยวกับการออกแบบแสง(ไล้ติ้ง) ทั้งงานแบบคอนเซ๊ปและงานเฟอร์นิเจอร์จริง ที่เวียนมาครบรอบอีกครั้งในปีนี้มีชื่อว่า EUROLUCE น่าสนใจอย่างไร ฉบับหน้าผมจะเล่าให้ฟังอีกครับ

Thursday 7 May 2009

Made by Originals: Design Hotels


ผมชอบประโยคหนึ่งของ Albert Einstein ที่เคยบอกไว้ว่า "Imagination is more important than knowledge" หรือ "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"

ขนาดนักฟิสิกส์ที่ต้องมีกฏและทฤษฏีเป็นพื้นฐานความคิดและการทำงาน ยังกล้าพูดแบบนี้

เห็นภาพครับ เห็นภาพ

...

เวลาไปต่างไปประเทศ ผมชอบไปพักโรงแรมเก๋ๆ ออกแบบแปลกๆ หนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Design Hotels คราวนี้ไปไปที่ STRAF, Milan

มีทั่วโลกหลายร้อยแห่งครับ แต่ละโรงแรมมีเจ้าของอิสระไม่ขึ้นกับใคร บริหารกันเองหรือจ้างมืออาชีพมาบริหาร การตัวเองเรียกว่า Design Hotels เป็นเพียงอัตลักษณ์ของกลุ่มสมาชิกโรงแรมแต่ละโรงแรมเท่านั้น

เรื่องดีไซน์ของแต่ละแห่งไม่ต้องห่วง จะสวยเปรี้ยวจี๊ดหรือขรึมเข้มโมเดิร์น ชิลเอ้าท์หรือชิลอิน บ้างก็ว่ามีภาพสะท้อนของวัฒนธรรมท้องถิ่นบรรยายออกมาด้วยวัสดุหรือองค์ประกอบอะไรก็ว่ากันไปแล้วแต่พรรณนา

เค้าให้มารวมอยู่ในกลุ่มก็น่าจะการันตีว่า "ดีไซน์จ๋า" ลูกค้าเยอะอยู่แล้ว

พอเวลาไม่กี่ปี ผ่านไปมันไม่ใช่อย่างงั้นสิครับ

มีเกิดก็ต้องมีดับ ฉันใดฉันนั้น


 

"ดีไซน์จ๋า" กันมากๆ มันก็ชัก "เฝอ" คนเบื่อ


 

สมาชิกโรงแรมเพิ่มขึ้น
แต่ดีไซน์ซ้ำไปซ้ำมา ดูไปทางโน้นก็ เอ๊ะคล้ายกับอันนี้
(ไม่พูดถึงบางโรมแรมใน สิงคโปร์กับนิวซีแลนด์ที่แย่มาก ไม่รู้เรียกตัวเองว่า Design Hotelsได้อย่างไร) แนวการคุมschemeโรงแรมในกลุ่ม ช่วงหลังๆ อะไรๆก็ "Lifestyle" อะไรๆก็ "โมเดิร์น" (ฟังดู คุ้นๆมั้ยครับ)


 

Design Hotels เลย "มองหา"ตัวเองใหม่ เอากันง่ายๆ ไม่ต้อง "มองหา"ที่ไหนไกล

เป็น concept ที่เรียกว่า "Made by Originals" ที่กำลังเป็นที่ฮือฮา


 

"Made by Originals" แทนที่จะ Focus ไปที่ ตัว architecture และ design กลับเสนอมุมมองที่เห็นตัวตนของ ผู้ออกแบบ ผู้คิด ผู้ทำ มากขั้น งานออกแบบของ Design Hotels ที่กำลังปรับเปลี่ยนลุคตัวอย่างรุนแรงจึงจะออกมาในแนว สื่อถึง "อารมณ์" human approach ที่ไปสู่สิ่งๆต่างๆที่สัมผัสได้และ
มอง "ภาพ"ของผู้ที่มีส่วนร่วมในงานออกแบบหรือคนที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมนั้นๆโดยสื่อออกมาอย่างชัดเจนทั้งรูป กราฟฟิก ข้าวของเครื่องใช้ Treatment ต่างๆบนประตู ผนัง พื้นหรือฝ้า


 

เอากันง่ายๆ..

แทนที่จะมองทั้งภาพ "Lifestyle" แต่เปลี่ยนโดยเริ่มมองที่ "Life" แล้วค่อยหันหลังมาหา "Style"

แทนที่จะมองภาพ "งานดีไซน์" แต่หันกลับไปมอง "เบื้องหลัง" ของผู้ทำ "งานดีไซน์"

แทนที่จะมองหา "ที่มาที่ไป" ของแนวคิดจากสิ่งรอบตัว แต่หันมาสร้าง "สตอรี่" ของสิ่งที่อยู่ในตัวตน


 

...


 

เด็กนักเรียนคนหนึ่ง คุณครูให้ยื่นแขนออกมา ชูมือขึ้นตรงหน้า แล้วชูนิ้วขึ้นมา สองนิ้ว

คุณครูถามว่า "เธอว่า ตรงหน้าเธอมีนิ้วกี่นิ้ว"

"สองครับ"

คุณครูขยับแขนของเด็กคนนั้นเข้าไปเกือบชิดหน้าเด็ก แล้วถามอีกครั้งหนึ่ง

"คราวนี้ มีกี่นิ้ว"

"...เอ่อ..สาม หรือสี่มั้งครับ"

...

คนส่วนใหญ่ที่ถูกฝึกมาให้เดินตามกรอบของ "ความรู้" และ "จินตนาการ" เพื่อให้ตอบโจทย์ที่สำคัญว่า "ความเป็นจริง" คืออะไร

จริงๆแล้วคำตอบของ "ความเป็นจริง" ก็อาจอยู่ตรงนั้นแหละครับ

แค่ลองขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด หรือหันหลังกลับไปมองอีกหน่อย


 

คำตอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ระหว่าง "ความรู้" และ "จินตนาการ"

Brand Characters, Your Identity: แต่เราก็หากัน..จนเจอ




เคยคุยกับเพื่อนๆหลายคน เค้าถามว่าทำไมเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ากับบ้าน มันยากจัง ทำไมหน้าตามันก็ดูคล้ายกันปีแล้วปีเล่า วัสดุก็ดูเหมือนๆกันแต่ทำไมมันราคาไม่เท่ากัน ทำไมเฟอร์นิเจอร์จากเมืองนอก(หรือเดี๋ยวนี้แม้แต่ในประเทศ)
ราคาแพงเหลือเกิน ซื้อไปแล้วคุ้มหรือ บ้านจะสวยขึ้นมั้ย

...

แวบหนึ่งผมนึกถึงรุ่นน้องคนหนึ่งที่พึ่งจบและกำลังหางาน

รุ่นน้องคนนี้เตรียมตัวอย่างดีสำหรับการสัมภาษณ์ ผลการเรียนดีมาก พอร์ตงานpresentสวยหรู ก่อนออกจากบ้านไปวันนัดสัมภาษณ์ ตรวจแล้วตรวจอีก ตั้งแต่ ผม หน้า ผ้า เล็บ (โห ยังกับจะแต่งงาน)

ระหว่างสัมภาษณ์เธอก็เสนอผลงานที่เคยทำมาด้วยความเชื่อมั่น แต่ใจเต้นตู้มๆ กลัวเค้าไม่รับเข้ามาทำงาน แหม บริษัทออกจะใหญ่เด่นดัง มีชื่อเสียง

ก่อนคุยกันจบ ดีไซน์เนอร์หัวโต๊ะที่นั่งหน้ามุ่ยตลอดการสัมภาษณ์ หันมายิ้มแล้วพูดว่า "ผลงานขนาดคุณนี่ไม่ใช่แค่ "เรา" เลือกคุณ แต่อยากให้ "คุณ" เลือกเราด้วย"

เธอเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจ

...

เรื่องของ character หรือ "บุคลิก" ของแต่ละแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เป็นเรื่องน่าติดตาม เป็นเพราะยิ่งตาม ยิ่งรู้ ยิ่งสนุก

เหมือนตัวละครครับ

บางแบรนด์แต่ละปีแต่ละตอน มีปิดโน่น แอบบอกนี่ เหมือนหนังสอบสวนซ่อนเงื่อนชวนให้เดา บางแบรนด์มาแนวหนุ่มฝรั่งใจดี ตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ เคยเป็นอย่างไรก็เป็นแบบนั้น บางแบรนด์จากเด็กขี้เล่นกลายเป็นหนุ่มมีเสน่ห์ บางแบรนด์เป็นสาวเจ้าระเบียบเนี๊ยบนิ้ง บางแบรนด์เหมือนวัยรุ่นลองผิดลองถูกเดาอารมณ์ไม่ได้ซักที(แต่สนุกดี เร้าใจไม่น่าเบื่อ) บางแบรนด์หล่อกริ๊ปแบบไหนก็แบบนั้น บางแบรนด์ออกแนวเป็นตัว "ดื้อ"เล็กๆแบบอ่อนไหว ฉันเป็นฉันเอง(ก็ฉันอยากโชว์)...หลายแบรนด์เป็นแม่บ้านสาวชาวอเมริกัน เสมอต้นเสมอปลาย ทันสมัย (ประเภทดาบก็แกว่งมือก็ไกว)


 

เลือกเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นว่าไป ก็เหมือนเลือกไวน์ บางครั้งขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผล

ไวน์แต่ละวินเทจรสชาติก็เปลี่ยนได้ตามดินฟ้าอากาศ แทรนด์หรือรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ในแต่ละปีก็เปลี่ยนได้ตามกลไกของตลาดหรืออารมณ์ของผู้ออกแบบ

สิ่งที่แตกต่างคือไวน์แต่ละขวดเปิดแล้วดื่มเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว

เฟอร์นิเจอร์อยู่กับเราไปหลายปี
เลือกแล้วอยู่กันนานๆครับ

...

เฟอร์นิเจอร์ "ที่เหมาะที่ใช่" จึงต้องมี "บุคลิก" เหมือน "ตัวตน" ของเรา

"ราคา" หรือ "รูปแบบ (ดีไซน์)" ไม่ใช่ดัชนีกำหนด "ค่าตัว" เสมอไป

"บุคลิก"ของแบรนด์ ต่างหากที่จะบอกได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นเหมาะกับ "ตัวตน" เราหรือไม่

...

เฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่ "รถไฟ"ครับ ไม่มีขบวนแรก ไม่มีขบวนสุดท้าย

อยู่ที่ "หากันเจอ" หรือยัง

พอเจอแล้วทีนี้เวลานั่งมองดูโซฟาหรือเก้าอี้ตัวนั้น ก็ได้แต่ถามว่า

"หายไปไม่นาน ทำไมเธอสวยขึ้นจัง"

Wednesday 6 May 2009

สีโปรดของคุณ


ช่วงนี้หลายๆท่านคงรู้สึกเหมือนผมว่า
เวลาคุยกับคนอื่นๆ ชอบมีคำถามประเภทหมาหยอกไก่
มาถามอ้อมๆ (แกมบังคับ) ว่าชอบ "สี" อะไร หรือเป็น "สี" อะไร

อืม... ถ้าผมต้องตอบ ต้องนึกถึงตอนเป็นเด็ก

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนไม่ชอบวิชาศิลปะเป็นอย่างยิ่งครับ

ครูให้วาดภาพ ระบาย "สี" ทีไร เป็นต้องเอามาให้แม่หรือน้องชายทำให้ทุกครั้ง

ก็แค่ดูรูปที่ครูเอามาสอน มันยังไม่รู้เรื่องว่ามันคืออะไร มีความหมายอะไรมาสื่อ รู้สึกแต่ว่าเห็นแต่ "สี" เลอะเทอะเปรอะไปเปรอะมา แล้วจะวาดภาพสวยๆส่งครูได้อย่างไร

เลยพาลมาไม่ทำมันซะเลย

โตขึ้นมา ดันทำงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ทำให้เริ่มเข้าใจและสนใจศิลปะ

โชคดีได้เดินทางบ่อย เลยพอบอกตัวเองได้ว่าชอบสารพัด "สี" ที่มีแต่เสน่ห์ ของรอยต่อ
อิตาลีตอนเหนือ-สวิสตอนใต้-ฝรั่งเศสทางตะวันตกครับ

...

ยุโรปมีอะไรให้ดูให้ค้นหาเยอะครับโดยเฉพาะเรื่อง "สี"

คำว่าสหภาพยุโรปเกิดจากการรวมตัวของ "สี" จากธงของประเทศหลายประเทศเนื่องจากความหวาดกลัว "ลัทธิชาตินิยม" ที่ถูกใช้มาบ่อนทำลายซึ่งกันและกันเองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ก่อนจะมาถึงทุกวันนี้ยุโรปผ่านอะไรมาเยอะ ซึ่งมีบางมุมที่ผมรู้สึกว่ามีอะไรคล้ายๆกับเรามาก

เมื่อก่อนดินแดนในยุโรปไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าใครเป็นใคร ประเทศไหนเป็นประเทศไหน ยุโรปมีแต่ชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมคล้ายๆกัน ปกครองกันหลวมๆและแต่ละชนเผ่าก็กลืนกันไปกลืนกันมาอยู่หลายร้อยหลายพันปี

อังกฤษเกิดจากผู้อพยพของโจรสลัดแถมสแกนดิเนเวียนพวกSaxon ตอนหลังมาโดนอิทธิพลของผู้รุกรานจากสเปนและโรมัน ฝรั่งเศสไม่ต้องพูดถึงคำว่า France ไม่เคยมี มีแต่แคว้นต่างๆที่มี King เป็นของตนเองไม่ว่า Lyon, RhoneหรือReims เยอรมันออสเตรียเป็นเผ่าเร่ร่อนซะเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นพวกขุนนางตอนกลางของประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นเผ่าพันธ์บริสุทธิ์ โรมันครองด้านใต้กินถึงแอฟริกาเหนือ สเปน โปรตุเกสเป็นอาณานิคมเค้าทั้งนั้น ยุโรปตะวันออกไม่ต้องพูดถึงแตกออกได้อีกเป็นร้อย

ด้วย "สี" ด้าน ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างกันมาก ทำให้คนส่วนใหญ่รวมทั้งคนยุโรปเอง
ไม่คิดว่าจะรวมกันได้

แต่เขาก็ทำได้ และทำได้ดีด้วย

เขาทำได้โดยไม่ต้องละลาย "สี" ที่เป็นของตัวเอง ชอบสีไหนก็ยังเป็น "สี"นั้น แต่ละประเทศยังคงเอกลักษณ์ทางการเมือง ความคิด ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมตัวเองอย่างแข็งแกร่ง เข้มข้นและเหนียวแน่น

ประเทศในยุโรปวันนี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เคยเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้น

...

มองมาดูทางเรา ทุกวันนี้ เดี่ยวนี้ มีคนชอบพูดแต่เรื่อง "สี"

บ้างว่าชอบ "สี" โน้น เป็นเสื้อ "สี"นี้

บางคนเริ่มเปลี่ยน "สี" บางคนเริ่มจะสร้าง "สี" ของตัวเองใหม่

สื่อและนักการเมืองหลายคนบอกเลิกเถอะ สังคมเรามันต้องไม่มี "สี" อย่างนี้มันต้องละลาย "สี" (โถ ลืมมองว่าตัวเองยังเลอะอยู่เลย)


 

นี่เราต้องเลือกด้วยหรือครับ?

ขอให้พูดดังๆได้ว่าเราเป็น "สี" ไหน และเดินไปด้วยกันทุก "สี"

ดีกว่ามั้ยครับ

...


 


 

Saturday 2 May 2009

เรื่องไม่เว่อร์.. (เหมือน)เฟอร์นิเจอร์ อิตาลี



สิ่งที่ทำให้วงการออกแบบสถาปัตยกรรมของอิตาลี "แตกต่าง" คืออะไร หลายท่านคงยังสงสัย

อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ประเทศนี้เมืองนี้มีการจัดระเบียบการทำงานโดยนักคิดและนักออกแบบครับ นี่คือจุดเริ่มต้นและคือจุดเริ่มต้นของเดินทางที่จะทิ้งประเทศอื่นๆไปเรื่อยๆ ประเทศนี้ถูกครอบงำ(ในทางที่ดี)โดยสถาปนิก นักออกแบบซึ่งเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ (ขอให้มีใจรักและแนวคิดที่โดน) มีอิสระทางความคิดในการพัฒนางานของตัวเองในทุกแบบทุกสไตล์ งานออกแบบของอิตาลีจึง "ทันสมัย" อยู่เสมอ

โครงสร้างการบริหารจัดการแบรนด์ของวงการสถาปัตยกรรมในอิตาลีค่อนข้างชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบก็คงพูดได้ว่า ดีไซน์เนอร์หรือคนที่อยากเป็นดีไซเนอร์ทุกคนของอิตาลีก็เหมือนศิลปินอิสระ ทำงานตามแนวคิดตัวเองและส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสังกัดค่ายหรือสตูดิโอ ศิลปินเหล่านี้มีบ้านที่ทำสตูดิโอของตัวเองหรือรวมตัวกันทำงานกันเป็นกลุ่มใหญ่มากขึ้นเพื่อผลิตงานสเกลใหญ่ น่าสนใจกว่าและอาจต้องใช้เงินทุนหรือทรัพยาการมากขั้น แบรนด์ต่างๆก็เหมือนผู้จัดจำหน่ายที่อาจมีหรือไม่มีสตูดิโอในสังกัดเลยและมีการทำหนดทิศทาง คาแรกเตอร์ของงานที่แบรนด์เหล่านั้นมีอยู่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบนรด์ เมื่อโครงสร้างของแบรนด์เป็นแบบนี้ทำให้แบรนด์แต่ละแบรนด์ทำงานได้กว้างขึ้นคลอบคลุมเกือบทุกศาสตร์ของงานสถาปัตยกรรมตั้งแต่ออกแบบผลิตภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน สถาปัตยกรรมทุกสเกลตั้งแต่ภายในภายนอกจนถึงงานกราฟฟิก สิ่งพิมพ์ หลากหลายแต่ทำได้ดีคุมโทนของแบรนด์ได้แบบว่ามีผลงานอะไรออกมาก็ยังอยู่ในคาแรกเตอร์ของแบรนด์นั้นๆ

ถ้าให้แบ่งกลุ่มของแบรนด์อิตาลีตามลักษณะและสไตล์งานคงต้องแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ Design House, Fashion House และ Art House

Design House คือพวกที่อยู่ในวงการออกแบบมานาน บางแบรนด์อายุเป็นร้อยๆปี ทำงานตามทิศทางที่โจทย์ของแบรนด์กำหนดไว้อย่างตรงไปตรงมาและมักเป็นโจทย์จากแทรนด์ที่มีส่วนผสมทางการตลาดและความต้องการของลูกค้าพอสมควร แบรนด์กลุ่มนี้ปรับตัวอย่างสม่ำเสมอครับ ตัวอย่างกลุ่มนี้ก็พวก B&B Italia, Minotti หรือ Poliform

Fashion House คือแบรนด์ที่พัฒนาตัวเองมาจากงานออกแบบอื่นที่ที่เกี่ยวกับแฟชั่นมากกว่างานสถาปัตยกรรมโดยตรง เน้นการทำงานออกแบบที่อิงแนวทางของแฟชั่นหลักของแบรนด์ที่มีอยุ่มาก่อนและมาปรับใช้ให้ไปได้กับงานเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มนี้มาแรงและมีอะไรที่ surprise วงการตลอดเวลาครับ
กลุ่มนี้เห็นได้ชัดก็ Kenzo ที่อยู่ในวงการมานานหรือFENDI ที่หันออกแบบชุดครัวสุดล้ำ กรี๊ดสลบ, GIORGIO ARMANI ที่กวาดออกแบบและทำเองตั้งแต่ Café ยัน Disco ไปจนถึงตกแต่งภายในเครื่องบินและขายของแต่งบ้านเนี๊ยบกริ๊บ
หรือ BVLGARI ที่ตอนนี้มาทำโรงแรมอารมณ์นิ่งๆที่ตอนนี้เป็นสุดยอด talk of the town ในมิลาน (แอบบอกว่าผมชอบมากกก)

Art House คือแบรนด์ประเภทแฟนพันธ์แท้ครับ เน้นเทคนิคแนวคิดที่เมื่อก่อนเคยทำอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็คิดและทำอย่างนั้น ต้องยอมรับว่าถึงแม้ที่มาที่ไปของแบรนด์กลุ่มนี้จะผลิตและออกแบบกันมาเป็นร้อยปี ผลิตภัณฑ์หรือเฟอร์นิเจอร์ที่เค้าผลิตกันวันหน้าอาจหน้าตาไม่เหมือนเมื่อก่อนแต่กลับรู้สึกได้อย่างแรงถึง "กลิ่น" จากรากเหง้าของแบรนด์ครับ ตั้งแต่งานเครื่องหนังและทองเหลืองแบบชาววังสุดเนี๊ยบจาก Poltrana Frau (ไม่แปลกที่คนซื้อก็ royalty ทั้งนั้น) งานไม้มีเรื่องราวและเทคนิคTuscanจ๋า ของ Cassina หรืองานแสงและงานไฟจากสถาปนิกชื่อโบราณ(แต่งานระบือ)แบบ Fontana Arte ที่ทำ stained-glass ของ Duomo de Milano (กว่าจะเสร็จปาไปห้าร้อยปี!)

ก็ว่ากันไป
เว่อร์ไปมากน้อย แต่ละแบรนด์แต่ละแบบ

แต่ที่น่าทึ่งแบบไม่เวอ่ร์
คืออะไรทราบมั้ยครับ?

มีงานดีๆออกมาคนที่นี่ไม่ได้สนใจจะจำว่าเฟอร์นิเจอร์ตัวนั้นตัวนี้ "แบรนด์" อะไร
หรือ "แพง" ขนาดไหน

คนที่นี่จะจำว่า "ใคร" ออกแบบ

ตามไปดูงานแฟร์ (ภาคพิศดารและหิวโหย)


ผมเป็นคนชอบรับประทานครับ

มายุโรปทีไร ได้เป็นต้องลุยทุกระดับประทับใจ

ผมลุยกินตั้งแต่ร้าน Paella ข้างถนนหน้าตลาด (แต่เราเอามาขึ้นโต๊ะเป็นของหรู) จนถึง Michelin Star (ที่หลังๆไม่ค่อยน่าเชื่อถือ)

ผมดื่มหมด ตั้งแต่ไวน์บ้านที่ชาวบ้านในยุโรปตะวันออกไม่อยากทิ้ง เลยเอามาต้มขายหลอกนักท่องเที่ยว (mulled wine) จนถึง Premier Grand Cru Classe' ที่ราคาขึ้นลงตามใจท่าน Robert Parker

ผมมามิลานครั้งนี้ได้ลองไปทานที่ Cracco Peck เจ้าของทำร้านขาย Prosciutto และ Italian Delicacies ดังมากชื่อ Peck คนมาอิตาลีบ่อยๆรู้จักดี
ร้านนี้ได้หนึ่งดาวมิชิลิน อีกร้านที่ Don Carlos ร้านนี้ได้สองดาว ทั้งสองร้านอยู่แถวๆ Duomo

อร่อยครับ บริการดี อาหารเยี่ยม (แต่ไม่มีดนตรีไพเราะ... เหมือนตอนปิดสนามบิน)

ไวน์อิตาเลี่ยนปรกติเลือกยาก(มาก) และที่ดีๆราคาแพงเกินไป แต่ไวน์ Brunello ทั้งสองร้านนี้เข้าขั้น "มหัศจรรย์" ครับ

พูดเรื่องอาหาร สำหรับท่านๆที่ชอบคงทราบว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง

ว่าไปแล้วศิลปะการทำอาหารก็เหมือนงานดีไซน์ต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ

หลายปีก่อนเค้าว่ามาตราฐานของอาหารที่สุดพิเศษจากร้านอาหารชั้นนำระดับนี้ ต้องเป็นอาหารที่เตรียมจากส่วนผสมที่ "สด" และ "ใหม่"ครับ

เนื้อวัวต้องสดใหม่ตายจริง หรือแช่เย็นจัดที่อุณหภูมิเท่านี้เท่านั้น ห้ามแช่แข็งและเอามาทำโดยเด็ดขาดกระต่ายจะขึ้นโต๊ะได้ต้องยิงมาเท่านั้นห้ามเชือด
(มันจะได้ไม่เครียดและหลั่งสารทำให้เนื้อไม่เด้ง) หรือแฮม Serrano จากสเปน ต้องทำจากหมูดำตายมาใหม่ๆแล้วห้อยหัวหมูลงให้เลือดออกตายพร้อมๆเนื้อที่ค่อยแห้งในหุบเขาที่อากาศเย็นเจี๊ยบ (จะได้กินมั้ยเนี่ย)

หลายปีถัดมาเค้าเน้นที่ "เทคนิค" การทำอาหารครับ

ร้านที่เจ๋งเชปต้องจบจากที่โน้นที่นี่ ทำ fume'จากปลา และ crème' brulee' จาก Iranian คาร์เวียร์
หรือคัดไขกระดูกสันหลังลูกแกะหนึ่งขวบมาทำซอสกับไวน์หวาน หรือเอาน้ำแร่ยัดให้ห่านอิสรเอลกินจนท้องโตตับโตเพื่อให้ Fois gras "กรอบนอก เด้งตาม นุ่มใน" (โห แค่ฟังก็เหนื่อย) ขั้นตอนทำสเต็กต้องมีเผาจริงเผาหลอก (ฟังแล้วเสียว) เอาน้ำที่ไหลออกมาตอนเผากลับมาทำซ๊อสหรือทำ condiment (ไอ๊หยา)

สองสามปีนี้ แทรนด์ไม่ใช่สดใหม่หรือเทคนิดครับ แต่ต้อง "Naturale" หรือ "จากธรรมชาติ"

เห็ดTruffle' ห้ามใช้หมูเก็บ
ต้องหมาเท่านั้น (เพราะหมูแบบดั้งเดิมมันทำให้เห็ดเสียรูปรส แต่หมาเอาแต่ดม ไม่แทะไม่แตะกิน!) ปลาSalmonต้องWild จากScotlandอย่างเดียว
เนื้อวัวต้อง US certified เลี้ยงในทุ่งอยู่แบบ "พอเพียง" ไม่ขุนห้ามโด๊บ เนื้อแกะต้อง New Zealand เกาะหนือเท่านั้น เพราะปล่อยตามเลคให้หากินหาอยู่เอง(เศร้า) หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มต้องยี่ห้อ Voss ที่มาจากน้ำธรรมชาติของ นอร์เวย์ที่ไม่มีแร่ธาติ โซเดียมหรือสารเจอปนทั้งสิ้น (แต่ผมว่ามันไม่อร่อยเลย ประมาณน้ำกลั่นรถยนต์)

จะว่าไปกว่าจะไปสรรหาแบบนี้มาได้แต่ละร้านก็น่าจะเหนื่อยนะครับ การได้มิชิลินมาว่ายากแล้ว รักษาไว้ยิ่งยากกว่า ทราบมาว่าตอนนี้มิชิลิน ไล่เก็บดาวคืนจากร้านที่ไม่สามารถรักษามาตราฐานได้เป็นว่าเล่น

แหม จะว่าไปบางร้านก็ไม่ควรได้เลย

ทำงานศิลปะ(อาหาร)เหล่านี้คนทานเค้าดูทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ วิธีapproachเข้าร้าน(ทำเหมือนเครื่องบินกำลังจะร่อนลง) ความสะอาด การตกแต่งภายใน

บริกร การแต่งตัว การพูดจา ความรู้เรื่องอาหาร การแนะนำอาหาร การเชิญแขกเข้าโต๊ะ ระหว่างรับประทานมีการเสริฟมุมไหน เติมไวน์ไหร่ เก็บอาการเรียกอาหารอย่างไร

ผ้าปู ผ้ากันเปื้อน การจัดวางจานช้อน มุม มีด ภาชนะที่ใช้ทำจากอะไรเพื่ออาหารอะไร ว่ากันตั้งแต่ทำจากกระเบื้อง สเตนเลส งานช้าง เหล็ก ไม้ แก้วไวน์ทำจากอะไร เหมาะกับไวน์ประเภทที่สั่งหรือไม่ ไวน์มีให้เลือกเยอะหรือเหมาะสมกับอาหารในเมนูเพียงใด เมนูปรับเปลี่ยนบ่อยขนาดไหน มีอะไรพิศษประจำวัน(เพราะอะไร)

นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มรับประทานนะเนี่ย

ยังต้องมีเริ่มต้นชิม การเลือกระดับความสุกดิบของเนื้อแต่ละประเภท ปลาแต่ละประเภท หอยแต่ละประเภท การตัดรสอาหารด้วยอาหาร เซอร์แบหรือน้ำ การเรียงลำดับความเข้มของอาหารตามรสหรือจากซ๊อส การหั่นอาหาร(มุมหั่นไม่เหมือนกันรสชาติเพี้ยน) การปรุงเติมเกลือหรือชีสหรือพริกไทบนโต๊ะ(ปรกติจะไม่ทำ) การเปลี่ยนไวน์ การจบไวน์ สำหรับบริกรหรือเชประหว่างรับประทานมีการเสริฟมุมไหน เติมไวน์ไหร่ อย่างไร เก็บอาหารอย่างไร เรียกอาหารแต่ละคอร์สอย่างไร

รับประทานอาหารแบบนี้จะว่าไปก็เหมือน "ดู"และ "อภิเชษฏ์" งานอาร์ตนะครับ

แรกๆดูไม่รู้เรื่องทำให้อาจพาลเบื่อไปเลย

แต่ยิ่งดู ยิ่งรู้ ยิ่งสนุกและจะ "อภิเชษฏ์"ครับ

ตามไปดูงานแฟร์ (ตอนที่ 2)


เผลอปุ๊ปเดียวผมมามิลานได้สองสามวันแล้ว ปลายหนาวต้นซัมเมอร์แบบนี้อากาศเปลี่ยนฝนตกกระหน่ำทุกวันครับ เป็นอะไรที่แปลกไม่เคยเจอตั้งแต่มายุโรป(ที่ไม่น่าจะได้เจอกับอากาศทึมๆมึนๆ แบบอังกฤษ)

ตั้งแต่เดินทางเข้ามาวันแรกบน
Malpensa Express
หรือเข้างาน Design Week 2009 (มิลานแฟร์) ผมมีอันต้องตะลึงตึงตึง

คน ครับ คน

คลื่นมนุษย์มหาศาลทะลักกันเข้ามาเบียดเสียดเดินทางกันมาที่มิลาน ขนาดมาวันแรกๆซึ่งงานแสดงซึ่งจัดที่ Rho Fiera
ศูนย์แสดงสินค้าแห่ง(ไม่)ใหม่ของเมือง ยังไม่เปิดให้คนทั่วไปชม ต้องคนที่ทำธุรกิจการค้าหรือนักออกแบบหรือสถาปนิกเท่านั้นเข้าชม คนยังทะลักล้นทุกที่ทุกสถานีทุกทางเข้า ผมลองนึกดูเล่นๆ เอ๊ะไหนว่าเศรษฐกิจไม่ดี

ปีนี้นอกจากภาพรวมของดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่ตามแฟชั่นของไลฟ์สไตล์มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือแทรนด์ของการออกแบบที่ลงลึก แบบ "ตบแรงๆ" แล้วขอจูบ

งานเก็บรายละเอียดชัดเจนมากขึน ลวดลาย pattern ใหญ่ๆไม่ว่าของหินหรือกระเบื้องก็ลดลง สำหรับลายไม้มีการลบรายละเอียดของลายออกไปแต่ขยายส่องดูที่grainแบบดุๆ

หลายชิ้นงานกล้าใช้
กล้า"ทดลอง" หลักการของ Illusion ชัดเจนมากในแบรนด์หลัก "หลอก" กันดื้อๆว่าเป็นไม้แต่ไม่ได้ใช้ไม้ หรือโชว์ว่าเป็นเอเชียแต่จริงๆเป็นฝรั่ง

เกือบทั้งหมดของผลงานที่มาโชว์เน้น "ดีเทล" ครับ จับประเด็นโดยการ "ซูม" ไปที่ไหนก็เจอ component ขยายขนาดยักษ์ ไม่ว่าโคมไฟ สวิตท์ ปลั๊ก หิน หรือแม้แต่มือจับ

นอกจากเรื่องแทรนด์แล้ว ที่น่าสังเกตได้อย่างหนึงในปีนี้คือกลับมาเรื่องคนที่มาร่วมงานครับ

คนเอเชีย ไม่ว่าจะจีน ไทยแขกปีนี้จะน้อยลงมาก แตกต่างจากทุกปีซึ่งคนจากแถวๆบ้านเราจะมาตะลุยดูงาน ถ่ายรูปกันทุกซอกมุม จากบนลงล่างเก็บดีเทลใกล้มาไกล บันทึกกันเข้าไปทั้งภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เล็กหรือใหญ่ จนบางครั้งบางทีเป็นที่รำคาญของฝรั่งที่มาออกงานโชว์ เพราะเขาไม่อยากให้ถ่ายเนื่องจากเป็นลิขสิทธ์ของเขาและอาจเป็นเพราะเหตุผลว่าตัวงานที่เอามาออกยังอยู่ในขั้นทดลองทดสอบหยั่งเสียงตลาดและวงการออกแบบเพื่อนำไปปรับปรุงต่อ นี่เองเป็นเหตุผลที่เรามักเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากเมืองจีนหรือที่ดีไซน์ในเอเชียที่อาจดูสวยมีกลิ่นของความโมเดิร์น มองเผินๆหน้าตามันออกจะแปลกๆแต่เผลอคิดไปได้ว่าเออเราก็ทำได้คิดได้ ผลิตได้เหมือนฝรั่ง(เนอะ) ก็ที่มันดูแล้วเพี้ยนๆหลุดๆไปบ้างเนื่องจากไปก๊อปของๆเค้าที่ความคิดความอ่านมันยังไม่ตกผลึกและอยู่ในขั้นทดลองมา แล้วเอามา improvise (เอามาแถ) เอาเองนี่ต่างหากครับ (คือแปลว่าเค้ายังคิดไม่จบแล้วเรารีบไปเอามา
เลยทำไม่เหมือนสิ่งที่เค้าจะตั้งใจแสดงออกมา)

อย่างไรก็ดีจะว่าไปคนแถวๆบ้านเราก็ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดนะครับ เรื่องฝีมือการผลิตก็ดีเข้าขั้น ขนาดกระทั่งตอนนี้หลายๆแบรนด์ใหญ่ในอิตาลีและฝรั่งเศส จ้างคนจีนและแขกทำงานเฉพาะทางบางอย่างเช่นส่วนประกอบที่เป็นหนัง โครงเหล็กและพีวีซีด้วยซ้า ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆสตูดิโอในอิตาลีตอนนี้ก็เริ่มมีทั้งดีไซเนอร์ทั้งจีน อินเดียและญี่ปุ่น ที่มีความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมการออกแบบ มีพื้นฐานจากโรงเรียนหรือสถาบันด้านการออกแบบจากยุโรป (แน่นอนว่าเค้าเก็บเป็นความลับสุดยอด กลัวเสียหน้า และราคาหน้าตั๋ว "Made in Italy")

ที่สนใจคือเมื่อไหร่เราๆท่านๆจะไม่ต้องรอแค่ปลายน้ำแบบนี้เล่า

ไม่รู้จะมีใครตอบได้บ้าง