Sunday 23 May 2010

มองหาแล้วเชื่อมั่น




พูดถึงความรัก หรือสิ่งใกล้เคียงที่ชอบมองหากันนักหนา เคยสงสัยทำไมมั้ยว่า คนเราต้องกระตือรือร้นที่จะมองหารัก?

...

ก็ความรัก ทีแรก มันคือความตื่นเต้น แหม ความรักครั้งแรก ใครๆ คนไหนก็ไม่มีลืม ก็มันตูมตาม มันวาบหวาม มันเร้าใจ

ก็ความรัก ทีแรก มันไม่ใช่เรื่องของ(หัว)ใจ แต่เป็น “ไฟ” ที่สุมเข้าไปเพื่อให้อะไรอะไรมันเผาผลาญ

ก็ความรัก ทีแรก มันเป็นเรื่องของแค่ “ฉันและเธอ” ไม่ต้องไปเจอคนอื่นๆ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน ญาติ ใครเตือนอะไรไม่มีฟัง(หรอก) หรือฟังแต่ก็ไม่ได้ยิน ก็หูมันอื้อ ตามันลายแล้ว

ก็เมื่อความรัก ทีแรก มันคือ “วิทยาศาสตร์” คือความสงสัย เลยต้องเอามาทดลอง ความรักทีแรกจึงไม่ต่างจาก“ของแปลก” ทดลองไปเพื่อหา “สิ่งใหม่” เพื่อหา“ชัยชนะ”ในการได้มา และยังมองว่าไม่ใช่ความพ่ายแพ้แม้ว่าจะต้องเสีย“ของแปลกๆ”นั้นไป เลยเลือกชอบ เลือกจีบ(หรือยอมให้จีบ)มันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เหนื่อยฉันก็ไม่หยุด

ก็เมื่อความรัก ทีแรก คือการค้า ถ้าอยากได้มาก็ต้องเอาอะไรมาแลกไป เธออยากให้ฉันทำอย่างโน้น เธอก็ต้องยอมทำแบบนี้ เธออยากไปที่นี่ เธอต้องพาฉันไปที่นั่น

...
ผ่านจุดนั้นไป เมื่อได้รักมา แล้วเอามาทำอะไรต่อ? คนเราในโลกยุ่งๆใบนี้ เดี๋ยวก็เบื่อ เดี๋ยวก็อยาก มีหลายต่อหลายคนที่ยังชอบที่จะเบื่อๆอยากๆ รักๆเลิกๆ ไม่รู้จบ แต่ก็อีกหลายคนที่โชดดีเจอคนที่ “ใช่”
เอ๊ะ ไม่เห็นจะยากอะไร ก็แค่ทำความเข้าใจ ว่า..


...สิ่งที่เรียกว่ารัก คือ การค้นพบ คือ “กระจก”ที่ทำให้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เป็นตัวตนที่ครึ่งหนึ่งไม่ใช่ของตัวเอง เป็นตัวตนที่พร้อมที่จะเป็นของคนที่เรารัก พร้อมที่จะคิดแบบคนที่เรารัก มองแบบคนที่เรารัก และให้ทุกอย่างกับคนที่เรารัก
ตัวตนที่คิดว่าเข้มแข็ง แต่ยอมรับว่าจริงๆก็มีจุดอ่อน ตัวตนที่ร่าเริงแต่บางมุมก็จริงจัง ตัวตนที่คิดว่าชอบของสิ่งหนึ่ง แต่จริงๆก็ไม่ปฏิเสธสิ่งใหม่ๆ

...สิ่งที่เรียกว่ารัก “เต็มไปด้วยเรื่องราว” ทั้งเรื่องดีๆหรือเรื่องร้ายๆ ทั้งเรื่องตื่นเต้น ทั้งเรื่องน่าเบื่อ เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเป็นของของเรา เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จบแล้ว เห็นแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นอย่างไร เป็นเรื่องราวที่ถึงแม้จะเริ่มต้นใหม่ เริ่มกับใคร ทำยังไงก็ไม่มีทางเหมือนเก่า
ลองคิดดูร้านนั้นที่เราไปกินข้าวด้วยกัน ไปกินกับคนอื่นสั่งอะไรยังไงมันก็ไม่อร่อยเหมือนเดิม ที่ที่เราเคยไป มองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ

...สิ่งที่เรียกว่ารัก คือ ความผูกพันธ์กับ“เพื่อน”คนเดียวที่ดีที่สุด เพื่อนที่เข้าใจอะไรมากกว่าแค่เธอกับฉัน เพื่อนที่รู้จัก“เรา”มากกว่าเรารู้จักตัวเราเอง เพื่อนที่รู้จักจังหวะหลบหลีกเราเวลาเราโกรธ เพื่อนที่รู้จักปลอบเราเวลาเราเศร้า เพื่อนที่พร้อมจะไปกับเราทุกที่แม้จะเป็นที่ที่ไม่เคยไป เพื่อนที่เราไว้ใจมากกว่าตัวเราเอง

และเป็นเพื่อนคนสุดท้ายที่อยากให้อยู่ข้างๆเรา เมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมที่จะ“ไป”

...สิ่งที่เรียกว่ารัก ไม่มีการ“แก้ตัว” มีแต่การ“แก้ไข” เพราะสำหรับความรัก ชิวิตมีแต่การให้อภัย ไม่ใช่มีแค่ไฟ แต่มีหัวใจที่เต็มไปด้วยการให้โอกาส

...สิ่งที่เรียกว่ารัก ไม่ใช่คนตาบอดที่มองไม่เห็น แต่ความรักคือ“คนตาฝ้าฟาง”ที่เริ่มที่จะมองอะไรๆในชีวิต“ชัดขึ้น” เมื่อเห็นชัดขึ้นก็ยิ่งทำให้อยากจะมอง อยากจะเห็นชัดขึ้นไปเรื่อยๆ และทำให้อยากจะเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตมากขึ้นอีก เลยยิ่งทำให้ชีวิตยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
แล้วความรักก็จะทำให้เรากลายเป็นคนตาดี..ในที่สุด

...

ความรักไม่ใช่การมองหา“คนที่ดีที่สุด” แต่ความรักคือการทักทาย ทำความรู้จักกับสิ่งที่ “อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ อาจยังไม่ดีที่สุด” แล้วค่อยๆปรับตัวเราให้เข้ากับสิ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบสิ่งนั้น ...ให้ดีที่สุด

เพื่อว่าเราจะได้ “เชื่อมั่น” กับสิ่งๆนั้น
...ให้มากที่สุด

Sunday 9 May 2010

ความรักหลายสี



ผมเคยเขียนเรื่อง “สี” เรื่องที่มีหลายอารมณ์ของ “ความจริง ความรู้สึก และความรัก” ปนเปกันไป “สี”เป็นเรื่องของสัญลักษณ์ที่มีอัตลักษณ์ด้วยตัวของตัวเอง แต่ก็ได้สร้างความรู้สึกบนสิ่งอื่นให้คนอื่นคล้อยตาม เพื่อแปลความหมายตามความรู้สึก ซึ่งบางครั้งความรู้สึกของสีนั้นๆก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป “สี”จึงเป็นตัวแทนของอะไรได้หลายๆอย่าง มองได้จากหลายๆมุม ซึ่งคงจะเป็นมุมที่จริงบ้าง ลวงบ้าง แล้วแต่ว่าเราจะเอามาแทนตัวของเราเองในมุมๆไหน หรือแทนอย่างไร
...
ผมมีรุ่นน้องสองคนที่คบกันมานานและก็รักกันมาก เฉียดจะตกร่องปล่องชิ้นกันก็หลายครั้ง เพื่อนๆยกธงเชียร์ให้ลงเอยกันซักที ไปๆมาๆตอนนี้ติดโรคยอดฮิตของคนที่คบกันนานๆ คือโรค “สีเทา” โรคนี้หลายคนคงจะเคยเกิดกับตัวเอง และหลายคนคงจะเคยผ่านมันไปครับ สำหรับคนที่คบกันมานาน สีสวยๆของความรักอาจเริ่มจาง อาจเพราะช่วงแรกละเลงสีมันมากเกินไป หรือสิ้นเปลืองสีไปด้วยเวลา อาจเป็นเพราะมีสีอื่นๆที่เรายอมให้มันเข้ามามีอิทธิพลกับสีเดิมของเราโดยเราเองก็ยังไม่รู้ตัว เราปล่อยให้มีสีหลายๆสีมาผสมมั่วไปหมด สร้างม่านบางๆสีเทาที่ทำให้เราเริ่มมองไม่เห็นกัน มองไม่เห็นว่าม่านนั้นน่ะจริงๆแล้ว “ไม่มีอะไรเลย” ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองและสร้างมาด้วยกัน แต่เราเองลืมตัวไปชั่วขณะ ปล่อยให้มันผสมกันเองในถาดสี แทนที่จะวาดเส้นสายขึ้นมาด้วยกัน เป็นภาพวาดของชีวิตบนกระดาษ และระบายลงไปด้วยความหลากหลายของกันและกัน เพื่อทำให้ภาพวาดนั้นกลายเป็นเรื่องราวที่สร้างโดยเรา และเป็นของเราไปอีกนานแสนนาน เป็นเรื่องราวที่ดูอีกกี่ครั้งก็สวย และที่สำคัญเรื่องราวในภาพนั้นมี “สี” ของเราทั้งสองคนผสมกลมกลืนกันลงตัว มองได้หลายมุม สวยได้หลายแบบ

...
ภาพชีวิตของคนหลายคนมักมีสีหลากสี เพราะความรักในชีวิตมักไม่สามารถระบายให้จบในครั้งๆเดียว กว่าจะได้ภาพที่สมบูรณ์เรามักผ่านการใช้สีหลายๆสี มากน้อยไม่เท่ากัน
...

ความรักสีเทาถึงแม้จะดูหดหู่ ท้อถอย แต่สีเทาก็เป็นสีที่ระบายออกถึงอารมณ์ที่บางครั้งจำเป็นต้องมีอยู่ในชิวิตครับ เพียงแต่ขอให้รู้จัก“จำกัด”ให้สีเทาอยู่ในส่วนเล็กๆของภาพ และเมื่ออยู่ในภาพสีนี้ก็คือการเตือนความทรงจำว่าภาพที่จะสมบูรณ์ได้ก็เหมือนชิวิตที่หลายครั้งความสวยไม่ใช่เรื่องราวอันหมดจรดที่เล่าครั้งเดียวแล้วสวยได้แบบไม่มีตำหนิ

ความรักบางครั้งเป็นสีชมพู ที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงจะมีใครมาฉุด ฉันก็ขอแอบ ก็ตอนเป็นเด็กน่ะมันไม่ต้องรู้ ไม่ต้องใส่ใจอะไร ขอแค่คิดว่าเป็นเธอน่ะ เพราะงั้นอะไรๆก็ใช่ อยากคิดถึงทุกคืน ความรักสีนี้เป็นความรักแบบทุ่มเททุ่มทุนสร้าง มองรอบตัวอะไรก็สวยงามไปหมด เป็นสีที่ถึงแม้ผ่านมานานก็ยังไม่ลืม และแอบยิ้มแบบปลื้มๆถึงสิ่งเราก็เคยมี

ความรักสีแดงถึงดู “ร้อนแรง” แต่ก็มักจะ “โหดร้าย”ตอนจบ จำได้มั้ยครับ ความรักแบบที่บางครั้งเรารู้ว่าต้องการด้วยความอยาก ราคะ แรงและมึน (แต่ก็จะเอาอ่ะ) ทำให้มองอะไรอย่างอื่นไม่เห็น มองหาเหตุผลไม่มี ความรักและปลื้มคนที่เค้ามีเจ้าของแล้วทั้งที่รู้ว่ามันผิด หรือหลงเธอคนนั้นแบบทั้งตัวทั้งใจขอไปอยู่ด้วย (แต่ก็รู้ว่าจะจบไม่สวย เอาวะ ยังงัยขอไปด้วยตอนนี้ก่อนละกัน)

ความรักสีเขียว สีของความพอพอเพียง แต่เป็นความรักแบบไม่มีวันลงเอย เคยมั้ยครับที่มีรักแบบไม่ต้องมีความหวังแต่หัวใจเต็มไปด้วยพลังแบบพี่มีแต่ให้ ไม่ต้องเอาอะไรแค่ขอให้เธอรู้ซักนิด(เผื่อจะมีหวัง) ความรักในครอบครัวก็เป็นสีเขียวๆอบอุ่นแบบนี้ครับ

ความรักเศร้าๆ “สีบลู” รู้ว่าเขาและเธอไม่อยู่ข้างๆเราอีกแล้ว เป็นความรักที่สูญเสียแบบลาจาก รักแบบทรมานเพราะไม่มีวันได้พบกันอีก รักที่ต้องทำใจที่รู้ว่าถึงจะเป็นรักแท้ แต่จากไปแบบไม่มีวันกลับ หรือความรักที่รู้ว่าสักวัน ยังงัยมันก็ต้องจบ คงต้องรักแบบเรียนรู้ที่จะยอมรับกับความเศร้าความหดหู่

หรือความรักสีเหลืองอ่อนๆ แบบ“แอบๆ” ค่อยๆใกล้ชิด ปิดยังงัยก็ไม่มิดแต่ยังไม่กล้าบอก มีโอกาสแต่ยังไม่แน่ใจ หรือมีใจแต่ยังไม่กล้าคิด เป็นความรักแบบที่มีสีเบียดๆค่อยๆละเมียดเข้าไปหา

ความรักที่รู้ว่ายากแต่ด้วยความพยายามอะไรก็เป็นไปได้ คือความรักสีม่วงที่ “ลึก” แต่ “เร้าใจ” ที่ถึงจะดูยังงัยมันก็ไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่ เอ้า เป็นงัยเป็นกัน ความรักแบบกล้าๆกลัวๆ เสี่ยงๆนิดๆ ตื่นเต้นหน่อยๆในตอนแรก พอลองดูแล้วก็รู้ว่าติดใจ(อ่ะ)

หรือความรักสีขาว ที่ไม่จะเป็นต้องเป็นแค่สีของความบริสุทธิ แต่มองเป็นสีที่ช่วย “ลดทอน” ความไม่พอดี ความเกินเลยของสีต่างๆ เป็นสีของความรักที่ช่วยรักษาสมดุลของภาพวาดที่ผสมผสานไปด้วยสีต่างๆให้ลงตัว สีขาวจึงมีความเป็นสีของ “ความรักตัวเอง” ที่มอบให้กับสีอื่นๆเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจกับอะไรๆที่เราใช้ไปในชีวิต
...
ภาพวาดของชีวิตเป็นแค่จุดเริ่มต้นของความรัก ถึงจะวาดให้สวยจากความพยายามผสมสีตั้งแต่เริ่มต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆก็เก่าลง ภาพๆนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเสริมเติมแต่งเพื่อให้ชีวิตนั้นสวยอยู่เสมอ ก็ “สี” ต่างๆของความรักที่เรามีอยู่ในครั้งแรกนั่นแหละครับ ที่เราเลือกใช้เติมจุดต่างๆในภาพที่มันอาจจะจางอาจจะบางลงไปบ้าง เติมตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง บางครั้งสีโน้น บางครั้งสีนี้ เติมไปอยู่ไป ไม่มีวันเสร็จ
...

เพราะความรักของเรา จะสวย จะสมบูรณ์แค่ไหน..

อยู่ที่เราเลือกใช้สีอะไร..
ในช่วงเวลาไหนของชีวิตครับ