Wednesday 8 April 2009

ประวัติศาสตร์ ปรัชญาและการปกครอง

สองสามปีนี้ดูข่าวประเทศที่เรียกตัวเองว่า ไทย แล้วบอกตรงๆว่า ว้าเหว่

เมื่อคนไทยไม่เข้าใจความแตกต่างของคำว่า อดทน(tolerance) ดื้อดึง (ignorance) และช่างมันเถอะ (complacency) และหลายคนทำเหมือนสิ่งเหล่านี้มันเหมือนกัน หรือใช้ประโยชน์จากมันต่างกรรมต่างวาระ

เมื่อคนไทยหลายคนเป็นคนที่นึกว่าตัวเองเข้าใจประวัติศาสตร์ แต่จริงๆคือเข้าใจตามสิ่งที่มีคนบอก คนเล่า ไม่มีการเปรียบเทียบมุมกว้าง มุมแตกต่างหรือมุมที่ไม่เคยนึกถึง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่สังเคราะห์ ไม่เคยวิเคราะห์ อนุมานคำตอบเอาตามความง่ายความสะดวก นี่เป็นเหตุแห่งเรื่องที่ว่าทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ไม่ต้องคิดมาก มันเหนื่อย เมื่อไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ก็ไม่เข้าใจปัจจุบันและไม่รู้อนาคต

เมื่อคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนที่นึกว่าตัวเองเข้าใจตัวเอง แต่ไม่รู้ลึกซึ้งถึงรากเหง้าของวิธีคิดในองค์ประกอบต่างๆ ทำให้เป็นคนผิวเผินแบบที่หรือแต่ที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง(อย่างเหลือเชื่อ) ไม่รู้จักคำว่าปรัชญา ไม่เคารพตนเอง ไม่ทำอะไรจริงจังเพื่อให้เหลือความภูมิใจในสิ่งเหล่านั้น ไม่ภูมิใจในวิชาชีพหรือสิ่งที่ตนทำอยู่ คือมองคุณค่าของตนเองแค่ตามบริบทที่สังคมมอบให้

คนไทยอาจชินกับการถูกบอก ถูกลาก ถูกจูง เข้าใจตามที่คนบอก คนไทยนึกว่าเข้าใจตนเองและไม่สนในรากเหง้าวิธีคิด ก็จึงเลือกที่จะมีการปกครองหรือถูกปกครองแบบนี้ โดยไม่รู้ตัว

คนไทยอาจไม่เคยสามัคคีกันจริงๆอย่างที่พยายามหลอกตัวเองปาวๆตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คนไทยอาจทำเพื่อกลุ่มหรือพวกพ้องของตนเองเพื่ออยู่รวมกันอย่างหลวมๆได้ก็แค่ระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้สิ่งบางสิ่งยึด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น เป้าหมาย ความสำเร็จ หัวหน้าเผ่า การปกครอง รัฐ ศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่

ยอมรับกันเถอะครับ ไม่เห็นต้องมีใครเดือดร้อน

จะร้อนไปทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร ก็ในเมื่อเราทำตัวเราเอง เคารพตัวเองได้เท่านี้

แค่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

เมื่่อการอยู่รวมกันอย่างหลวมๆนั้น มันหมดเวลาตามรอบของมัน

ไม่ว่า อำนาจ เงิน ชนชั้น การปกครอง มันแค่สิ่งรอบตัว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

No comments:

Post a Comment