Tuesday, 23 November 2010

ถ้าคุณอยากเป็นเถ้าแก่




ฤดูการศึกษาของเมืองไทยตามระบบการเรียนปรกติจะมี 2 ภาคการศึกษาครับ ช่วงก่อนเริ่มภาคการศึกษาใหม่ที่ผ่านมาเราจึงเห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์หลักสูตรปริญญาตรีโทเอก ที่มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น รวมถึงคอร์สประเภท how-to ที่สอนกันด้วยระยะเวลาสั้นๆจบภายในหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ จนถึงไม่กี่เดือน มีให้เลือกมากมาย

ปรกติผมจะรับเชิญการเป็นวิทยากรไปพูดตามที่ต่างๆก็ช่วงเวลาระหว่างภาคการศึกษาแบบนี้ล่ะครับ เมื่อก่อนเป็นอาจารย์เต็มเวลามักเลือกสถานที่และช่วงเวลาที่ไปสอนไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้สบายขึ้นเยอะ ผมจึงมักเลือกที่จะบรรยายในหัวข้อที่สั้นๆกระชับจบได้ในระยะเวลาที่ไม่มากนัก และโดยทั่วไป ที่สำคัญคือผมมักเลือกหัวข้อที่ได้แชร์ประสบการณ์กับนักศึกษาหรือผู้ที่ได้มาฟังบรรยาย เพราะผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ผมไปพูดที่ไหน ผมอยากที่จะเรียนรู้จากผู้ฟังหรือนักศึกษา มากพอๆกับที่เขาเหล่านั้นตั้งใจ(และเสียเงิน)มาฟังผมพูด

ด้วยตัวผมซึ่งเป็นวิศวกรโดยอาชีพ แต่ไปจบปริญญาเอกทางการบริหารงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบ กลับมารับราชการเป็นอาจารย์ และในที่สุดมาอยู่ในภาคเอกชนประกอบกิจการเป็นของตัวเอง คำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งที่ผมถูกผู้ฟังถามอยู่เสมอเวลาไปบรรยายที่ไหนคือ “อาจารย์ครับ ถ้าเราอยากจะมีจะทำกิจการที่เป็นของตัวเองจำเป็นต้องมี MBA หรือจบปริญญาโททางธุรกิจหรือไม่”
ผมมักจะตอบไปว่า อาจจะไม่ และอาจจะใช่


“Entrepreneurship is a matter of the heart, and education is a matter of the brain”
“ความเป็นเถ้าแก่น่ะ มันอยู่ที่ใจ ส่วนการศึกษา มันเป็นเรื่องของสมอง”
...

“ใจ”มันสอนกันไม่ได้ครับ ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการหมายถึงเราต้องพร้อมที่จะสู้ พร้อมจะรับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ (ทุนหาย กำไรหด ลูกค้าไม่มี เงินไม่เข้า ฯลฯ) “ใจ”ที่สอนกันไม่ได้แบบนี้จึงเป็นเรื่องของทัศนคติในการมองโลกอันแสนไม่แน่นอนและความกระหายอยากรู้อยากเห็น อยากประสบความสำเร็จ

การเรียนรู้ การศึกษา เป็นอีกเรื่องๆหนึ่งครับ การเรียนสามารถสร้าง“กรอบ”ให้เราคิด สร้าง“เกราะ”ให้เราอุ่นใจ ว่าความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงน่ะมีอยู่จริง แต่เราต้องอย่างน้อยต้องเดาให้ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ อย่างไร ในทิศทางไหน เพื่อให้เราเลือกเดินในเส้นทางที่เสี่ยงน้อยที่สุด
...
เวลาผมต้องตอบคำถามดังกล่าวผมจึงเลือกยกตัวอย่างในลักษณะ “ชง” ให้ผู้ฟังรู้จักและอยากสนุกกับความเสี่ยงใดๆ แต่ขณะเดียวกันก็ลืมตายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่จะเกิดในโลกใบนี้ครับ

การเรียน การศึกษา ทำให้สมองกับใจทำงานไปด้วยกันได้แบบสร้าง“สมดุล”ของตรรกกะทางความคิดครับ
ก็เมื่อการตัดสินใจทางธุรกิจบางครั้งใจมันบอกว่า“ใช่” แต่สมองมันบอกว่า“ไม่” และในทางกลับกัน หลายครั้งถึงแม้ใจมันบอกว่า“ยัง” แต่สมองมันสั่งให้“ต้องเดิน”

ฉะนั้นเรื่องของการเป็นเถ้าแก่ให้ประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่ต้องว่ามีปริญญาเสมอไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของการรู้จักวิธีการบริหารสมองแบบ“เติมใจ”เข้าไปให้กัน แล้ว“เติมกำลัง”ให้ใจ ด้วยภูมิคุ้มกัน ด้วยความรู้ที่สมองสร้างได้

เพราะหลายครั้งสมองบอกสิ่งที่ฉลาดๆ เพื่อที่ไม่ต้องให้ใจเราไปพะวงกับการเรียนถูกเรียนผิดอีก (ก็คนอื่นทำผิดมาแล้ว)
แต่ก็หลายครั้งที่โจทย์ทางธุรกิจมันยาก นอกตำราและเกินกำลังของความรู้ใดๆที่เราสามารถนำมาอ้างอิง ต้องวัดกันด้วยใจหรือประสบการณ์ เพื่อเอามาตัดสิน

...
ผมจึงเชื่อว่า การเรียนรู้และการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความรู้จักหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และสร้างความน่าจะเป็นของความสำเร็จในการเป็นเจ้าของกิจการ แต่ผมก็เชื่อว่าถึงแม้เราจะมีเครื่องมือเหล่านั้น จิตใจที่พร้อม ประสบการณ์ที่มี คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฉวยโอกาสของความน่าจะเป็นเหล่านั้นเพื่อให้เราเดินหน้าต่อไปให้ยั่งยืน
...

เพราะในโลกธุรกิจ สมองและใจ เดินไปด้วยกันครับ

No comments:

Post a Comment