Friday, 30 July 2010
Intelligence, Paradox และ Creativity
หลายปีมานี้เห็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับ Intelligence และ Success แล้วใจหนึ่งก็ดีใจ ใจหนึ่งก็หวั่นไหวครับ
...
นักเรียนระดับมัธยมของไทยประสบความสำเร็จได้เหรียญทองโอลิมปิค เคมี ฟิสิกส์ ส่งไปกี่คนได้เหรียญกันมาครบ สอยกันเป็นว่าเล่น
ทีมนักศึกษาไทยไปแข่งขัน โครงการสร้างหุ่นยนต์ (Robot) ประเภทต่างๆ ไม่ว่าเตะฟุตบอล กู้เก็บสิ่งของ เก็บกู้ระเบิด หรือทำ task อื่นที่เริ่มซับซ้อนมากขึ้น
สถาปนิก ดีไซน์เนอร์ ผู้กำกับไทยได้รับรางวัล ได้รับการยอมรับระดับโลก ระดับนานาชาติ ในเรื่องฝีมือการออกแบบ การสรรค์สร้างอะไรๆที่เป็นศาสตร์ใดๆของงาน Creative
...
ดีใจว่าทรัพยากรของเรามี Intelligence แต่หวั่นไหวว่าใน Success ที่ได้รับ ว่าไม่มีอะไรที่รู้สึกได้ถึงความยั่งยืน (Sustainability) ของ Creativity
มีนักเรียนไทยกี่คนที่ได้เหรียญทองฟิสิกส์มาแล้วกลายเป็นวิศวกรของ NASA หรือมีนักเรียนไทยที่ได้เหรียญทองเคมีกี่คน น่าจะต่อยอดไปได้รับรางวัลโนเบลด้านการปลูกถ่ายอวัยวะโดยค้นพบยาชนิดใหม่
มีหุ่นยนต์ที่เป็นผลงานจริงๆของคนไทยกี่ตัวที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตรถยนต์ ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้งานทางการทหาร หรือใช้งานทางวิทยาศาตร์การกีฬา เท่าที่ทราบเราก็ซื้อเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น (และแพงมาก)
มีสถาปนิกไทยกี่คนที่ออกแบบงานสถาปัตยกรรมที่เป็น Iconic จริงๆของประเทศ หนังไทยที่ได้รับรางวัลบอกอะไรเราได้ในแง่การรับรู้รสชาดของภาพยนต์ของคนไทย แล้วดีไซเนอร์ไทยสร้างแบรนด์ดิ้งระดับโลกได้ซักกี่แบรนด์
...
ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะเรา “สับสน” ครับ
เราสับสนแบบคิดเผินๆว่า เด็กไทยนี่เก่ง.. ทราบไหมครับว่า กว่าเราจะส่งเด็กที่ดูจะมีพรสวรรค์หรือ gifted ทางด้านวิชาการที่ได้กล่าวมา เราต้องมานั่งค้นหากว่าจะค้นพบ จากนั้นต้องพาเด็กๆเหล่านั้นไปเก็บตัวกันเป็นเดือนๆ(หลายกรณีเป็นปีๆ) เพื่อติวเข้มกับอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัยในระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับการศึกษาที่สูงกว่าระดับปรกติในประเทศของเด็กคนนั้นๆ
เราสับสนแบบคิดเอาเองว่า ความสำเร็จคือการเอาชนะเพื่อให้ได้รางวัลมาแล้วหยุดการพัฒนาการต่อยอดเพื่อให้การวิจัยหุ่นยนต์ของเราเอามาใช้ได้จริงทางการพาณิชย์ (ที่ต้องลงทุนสูงมากทั้งด้านความคิดและทรัพยากร)
เราสับสนว่าแบบไม่อยากจะรับรู้ ว่างานออกแบบที่จะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนต้องมองที่รากของงานนั้นๆ ผ่านสายตาของผู้มองครับ ไม่ใช่เจ้าของงานหรือผู้สร้าง ทุกวันนี้สถาปนิกยังเถียงกันเองว่ากรุงเทพเองมีจุดเด่นหลายอย่าง เลยไม่มีอะไรที่เป็น Iconic architecture ทุกวันนี้สถาปนิกยังโทษว่าประเทศไทยหรือจังหวัดต่างๆไม่มีการวางผังเมืองเลยไม่มีโอกาสสร้างอะไรที่เป็น Iconic architecture ดีไซเนอร์ยังไม่รู้ว่าการสร้างแบรนด์ยุคนี้มันต้องมอง Local ไปหา Global ไม่ใช่ไปดูตัวอย่างหรือเอาอย่างจาก Global มาประยุกต์ใช้กับงาน Local
...
เราสับสนเพราะเราพยายามสร้างสรรค์แต่ไม่รู้จักการจัดการ มุมที่ขัดแย้งกัน (Paradox) ของ Creativity
...
Paradox มาจากคำกรีกโบราณสองคำคือ para ที่แปลว่า beyond และคำว่า doxa ที่แปลว่า opinions เป็นคำที่อาจจะสื่อสารอธบายเป็นภาษาไทยได้ง่ายๆว่า Paradox คือเรื่องราวหรือปรากฏการณ์ที่ยากที่จะเป็นไปได้ที่จะทำความเข้าใจเนื่องจากมีความจริงที่แตกต่างกันมากจากทั้งสองด้าน
Paradox of Creativity ในมุมมองของการทำธุรกิจบนพื้นฐานของ Creative Economy คือการทำความเข้าใจกับ เรื่องที่ขัดแย้งกันของ Idea ที่น่าจะเป็นไปไม่ได้ นำเอามาสร้างให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจเป็นกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลาครับ และเพื่อสร้างให้ Creative Idea ที่ดูเหมือนจะยากในการนำมาใช้งานเอามาสร้างเม็ดเงินหรือผลกำไรได้จริงนั้น
อย่างแรก ผู้สร้างสรรค์งานต้องเข้าใจว่างานดีๆที่สร้างสรรค์และประสบความสำเร็จมักมาโดยไม่รู้ตัวจากความพยายามที่ผิดพลาดหลายพันหลายหมื่นครั้ง
I have not failed. I've just found 10,000 ways that won't work,
Thomas Edison
…
และอย่างที่สอง ผู้สร้างสรรค์งานต้องเข้าใจว่างานดีๆที่มีความสร้างสรรค์มักเกิดจากความพยายามในการสร้างสรรค์ค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมาจากความพยายามคนละเรื่อง หรือมีเป้าหมายจากคนละทิศคนละทาง
ทราบไหมครับ ว่าคีย์บอร์ดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มาจากความพยายามที่จะหาเทคนิคการปิดจุกไวน์เพื่อให้ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพของไวน์ ขณะที่กำลังศึกษาเทคนิคการคั้นน้ำองุ่นเพื่อทำไวน์
หรือใกล้ตัวเราหน่อยก็ ตำนานของชีวิตล้มลุกคลุกคลานของคุณตัน ภาสกรนที กับชาเขียวโออิชิ ที่เกิดจากการที่ลูกค้ามาต่อว่าคุณตัน เพราะต้องการเอาชาเขียวที่ติดใจในรสชาดจากร้านบุ๊ฟเฟ่โออิชิ เพื่อใส่ถุงกลับบ้าน แต่ทางร้านกลับบอกว่าชาเขียวที่นี่ไม่ได้ขาย เราขายแต่อาหารบุ๊ฟเฟ่! ตอนหลังคุณตันเลยได้ไอเดียเอาชาเขียวมาใส่ขวดขาย เริ่มจากโรงงานเล็กๆกลายมาเป็นตำนานอาณาจักรโออิชิและปรากฏการณ์ชาเขียวของเมืองไทยในทุกวันนี้
Success is an ability to go from failure to failure without losing enthusiasm,
Sir Winston Churchill
...
เพราะ Intelligence ไม่ได้รับประกันความสำเร็จอย่างยั่งยืนในชีวิต แต่ Creativity สามารถทำในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ให้เกิดขึ้นได้จริง แถมยังได้ที่จะไม่ทำให้“สับสน” ได้อะไรที่คงไว้ซึ่ง ความแตกต่างแบบไม่แตกแยก
เพราะเกิดจากวิธีคิดแบบ“ความแปลก”ด้วย Paradox อยู่เสมอ
Tuesday, 6 July 2010
หน้าตาของ Design Leadership: Design Identity
หลายสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Design Leadership คุยเรื่องดีไซน์ลีดเดอร์กับบุคคลิกแบบที่เมเนเจอร์ควรมี เขียนจบไม่นานมีแอบโดนต่อว่า หลายท่านกล่าวหาผมว่า “จัดไม่จบ” ท่านว่าผมพูดไม่ครบว่า “Design Leadership” ตกลงมันคืออะไรกันแน่? อ๋อ ถ้าแค่คิด ทำ พูดแบบดีไซน์เนอร์จะทำให้วิวัฒนาการของกระบวนการแก้ปัญหามันดีขึ้น การแก้ปัญหามันเร็วขึ้นง่ายขึ้น แหม เป็นแบบนั้นก็มหัศจรรย์น่ะสิครับ
“Leadership” ที่เราหยิบยกมาคุยกัน ผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นแค่เรื่องตรรกกะทางจิตวิทยา มากกว่าเป็นอะไรจับต้องได้ Leadership..ไม่ช่วยลดต้นทุน Leadership..ไม่สร้างยอดขาย Leadership..ไม่สร้างกำไร Leadership..ก็แค่สร้างแรงใจ เพื่อลูกน้องทำงานแบบลืมหายใจ(เวลาเหนื่อย ท้อแท้) แล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงเส้นชัยแล้ว
…
“Design Leadership”เป็นคนละเรื่องกับ Business Leadership ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเดินนำองค์กรไปข้างหน้า
ผลคาดหวังที่ได้จาก Design Leadership ต้องเป็นอะไรที่ “ฉลาด”และ“แจ๋ว”กว่านั้นครับ เพราะ Design Leadership ไม่ใช่การเดิน“นำหน้า”องค์กร แต่เป็นการเดินไปด้วยกัน เดินไปเป็นเพื่อน เดินไปเป็นพี่(เลี้ยง) หรือเดินอย่างอิสระ เพื่อเชื่อมต่อบริบทของการบริหารงานในองค์กรมีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยความเกี่ยวพันและต่อเนื่องครับ
เมื่อพูดถึงผู้นำหรือ Leader ก็หมายถึงผู้ที่ชี้แนะเส้นทางให้คนเดิน ไม่ว่าจะให้เดินตามหรือเดินไปด้วย สำหรับเส้นทางธุรกิจในปัจจุบันเรื่องจะให้ลูกน้องเดินตามน่ะไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะให้เดินไปด้วยกัน คิดด้วยกัน ทำด้วยกัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์เพื่อสิ่งใหม่ๆน่ะ “ไม่ง่าย” ครับ
…
Business Leader ที่ชอบให้ลูกน้อง“เดินตาม” มองไปมองมาหน้าตาก็คงเห็นๆกันอยู่ว่ามีไม่กี่แบบ แต่Design Leader ที่เดินไปพร้อมๆกันกับลูกน้อง ถ้าจะให้จำแนกแบบให้เห้นตัวตน Identity คงจะประมาณนี้ครับ
Design Leader แบบปรมาจารณ์ The Maestros
ผู้นำทางศิลป์ ผู้ซึ่งยกระดับมาตราฐานในวิชาชีพที่เกียวข้องกับการออกแบบแขนงต่างๆ ตัวอย่างเช่น คุณภัทราวดี มีชูธน ทางด้านศิลปและการแสดง คุณนิธิ อ่านเปรื่อง ทางด้านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย คุณนิวัติ กองเพียร ทางด้านจิตรกรรมและวรรรกรรม และอีกหลายๆท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิด ผ่านกระบวนความของงานและวิชาชีพที่แต่ละท่านได้มีส่วนร่วมให้กับสังคม
Design Leader แบบผู้มีวิสัยทัศน์ The Visionaries
ผู้นำที่สร้างและนำเสนอทิศทางใหม่ทางความคิด โดยก้าวข้ามผ่าน บริบทเก่าของสิ่งรอบตัวที่มีอยู่ ผู้นำแบบนี้เรามี Steve Jobs แห่ง Apple คุณประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ “แกะดำทำธุรกิจ” วิศวกร ที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเข้าสู่วงการโฆษณาและการตลาด หรือคุณธนา เธียรอัจฉริยะที่ทำให้ โทรศัพย์มือถือกลายเป็นเรื่องครอบครัว ส่วนตั๊วส่วนตัว แถมดูอบอุ่น ไกลตัวหน่อยก็ Larry Keeley ที่ปรึกษาระดับโลกทางด้าน design strategy
Design Leader แบบผู้จัดการ The Managers
ผู้นำองค์กรที่ยกระดับงานออกแบบให้เป็นเรื่องความอยู่รอดขององค์กร เช่น Chris Bangle แห่ง BMW ที่ขจัดภาพลักษณ์ของรถดื้อๆ ให้เป็นรถยนต์เพื่อความสนุก หรือ Tom Ford ดีไซเนอร์อัจฉริยะที่สร้างภาพลักษณ์หรูหราของของ Gucci ให้เต็มไปด้วยแฟชั่นที่จับต้องได้
Design Leader แบบเจ้าของกิจการ The Entrepreneurs
ผู้นำแบบ“เถ้าแก่” ที่กล้าเสี่ยงกล้าลองวิธีการทำธุรกิจใหม่ๆ แบบ คุณอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เถ้าแก่น้อย ที่เคยสร้างรายได้จากเกมส์ออนไลน์ที่ตัวเองเล่นจนมาขายสาหร่ายแล้วรวยกว่า หรือคุณตัน โออิชิที่ตั้งตัวเพราะบุฟเฟท์ รวยด้วยชาเขียว และช๊อกฟ้าผ่าวงการด้วยการขายหุ้นให้คู่แข่ง(คราวนี้รวยไม่เลิก) หรือ David Kelly ผู้ก่อตั้ง IDEO บริษัทที่ปรึกษาด้านการออกแบบและนวัตกรรมที่มีผลงานระดับโลกกับแบรนด์แบบ Prada
Design Leader แบบแบรนด์แอมบาสเดอร์ The Ambassadors
ผู้นำหรือตัวแทนของแบรนด์ที่สามารถสื่อสารและเข้าถึงผู้คนในแง่ความสำคัญของดีไซน์ หลายท่านคงรู้จัก Richard Branson แห่ง Virgin หรือ คุณดวงฤทธิ์ บุนนาคตัวแทนของสถาปนิกรุ่นใหม่ หรือ คุณฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ แห่ง Harn Thann และคุณเศรษฐา ทวีสิน ผู้ซึ่งมาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่ อบอุ่น น่าเชื่อถือของยักษ์ใหญ่ Sansiri
Design Leader แบบตัวแทนไอเดียความสนุก The Entertainers
ผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลง ขัดเกลาองค์กระกอบของงานดีไซน์ให้เป็นอะไรที่เข้าใจง่าย สามารถเข้าถึงได้โดยคนทั่วไป เช่น Philippe Starck กับงานไอเดีย“ลึกๆ”ที่ไม่ต้องดูให้มันอาร์ต ไม่ต้อง“ลึก” ก็สวยได้ หรือดีไซเนอร์ผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต เจ้าของไอเดียสิ่งเหลือใช้แปลงกายเป็นงานออกแบบ
Design Leader แบบนักวิชาการ The Scholars
ผู้นำทางความคิดที่สร้างมุมมองใหม่ของงานออกแบบผ่านการศึกษาเพื่อให้เข้าถึง เรามี ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่าที่สามารถใช้หลักธรรมะเข้ามาผสมผสานในการบริหารจัดการองค์กร หรืออย่าง ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่เอาความน่าหลงใหลของทะเลที่“ออกแบบโดยธรรมชาติ”มาสื่อให้เห็นถึง“วิธีการแบบธรรมชาติ” ในการ“สื่อสารกับธรรมชาติ” เพื่อให้เรารักธรรมชาติแบบใครๆก็คิดไม่ถึง
Design Leader แบบนักปฏิวัติ The Provocateurs
ผู้นำหัวขบถที่อยู่นอกวงการออกแบบที่มักที่จะท้าทายวิธีคิดแบบดีไซเนอร์ หลายท่านคงรู้จัก Chung Kook Hyun เบื้องหลัง Sumsung ที่อุดหนุนแนวคิดของวิศกรรมที่ขับเคลื่อนโดยบริบทของงานดีไซน์ หรือ Axel Meyer ของ Nokia ที่ยังเลือกที่จะดื้อเลือกที่จะกำหนดให้โทรศัพย์เป็น communication มากกว่า living iconic แบบ iPhone (ก็ไม่เห็นจะผิดอะไร ยังขายดีเป็นที่หนึ่ง)
Design Leader แบบนักเขียน นักคิด นักวิจารณ์ The Scribes
ผู้นำ หรือผู้ชี้นำทางความคิด ที่นำเสนอมุมมองใหม่ที่ของวิธีคิดเชิงดีไซน์โดยสื่อออกมาทางวรรณกรรม Jeremy Myerson แห่ง Design Week และ Tyler Brule จาก Wallpaper ใกล้ตัวเราหน่อยก็ คุณประชา สุวีรานนท์แห่ง Design and Culture หรือ คุณมกร เชาวน์วาณิชย์ เจ้าของงานครีเอทีฟสองหัว และ คุณสักกฉัฐ ศิวะบวร บรรณาธิการของ iDesign
…
ตัวตนของ Design Leader ยังมีอีกเยอะครับ ยังแบ่งแยกได้อีกหลายหมวดหลายหมู่ ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ความแตกต่าง” ที่น่าสนใจคือในความแตกต่างนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ Identity ของ Design Leader มีเหมือนกันคือพวกเขาเหล่านี้เก่งที่ “รู้จักมองไปข้างหน้าและกล้าลองกับอนาคต” “คิดเชิงกลยุทธ์แต่ไม่ยึดติดกับแบบแผน” และที่สำคัญ “รู้จักเป็นผู้นำแบบที่เข้าใจในเงื่อนไขของผู้ตาม”
…
ตัวตนของ Design Leader ที่ฉลาด จึงต้องมีทั้ง ความมั่นใจจากเบื้องหลัง ความหนักแน่นในปัจจุบัน
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับ “คนที่กำลังเดินตามหลัง”...
แล้ว “เดินไปด้วยกัน” สู่อนาคตครับ