Saturday 20 December 2008

ฉะ แฉ ฉาว อาจารย์มหาลัยฯ

"We would learn from you as much as you would learn from us"
เด็กไทยจะมีโอกาสได้ยินประโยคนี้ตอนเปิดคอร์สหรือไม่นี่

เค้าบอกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยมีหน้าที่สี่อย่างด้วยกัน คือสอนหนังสือ ทำวิจัย บริหารองค์กรและบริการสังคม ผมอยากบอกว่า อาจารย์เป็นที่วิชาชีพนึงที่มีสุข เศร้า เหงาและรักนะครับ ไอ้ที่ดีๆนั่นก็มีเยอะแต่ที่แย่ก็มีหลายแบบนะครับ อาจารย์จึงเป็นเพียงผู้สื่อผู้สอนผู้นำพาและผู้ปฏิบัติ น่าเสียดายที่ระบบบริหารการศึกษาไทยๆทำให้เละทั้งระบบ ยกตัวอย่างง่ายๆ มีอย่างที่ไหน กว่าจะเรียนจบเอก (แทบตายตกตามโปรเฟสเซอร์)ไม่ว่าทุนตัวเองหรือทุนรัฐบาล กลับเข้าบรรจุเป็นข้าราชการอาจารย์เงินเดือนเริ่มต้น 10,600 (อ่านว่า หนึ่ง-หมื่น-หก-ร้อย-บาท) อาจารย์ก็มนุษย์นะครับ ลองคิดดูว่ารายได้ไม่พอก็ต้องดิ้นรนหาเรื่องทำอย่างอื่น(หรือหาอย่างอื่นทำ) ความจริงจุกอกที่น่าเจ็บใจก็คือว่า เพราะความเป็นอาจารย์ศักดิ์ศรีมันเลยเยอะ(เลยจมไม่ลง) พูดมากไม่ได้(ว่าเราก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน)

ทั้งหลายทั้งปวงไม่ต้องไปโทษเด็กทั้งหมดนะครับ เพราะถ้าเค้าออกมาเป็นบุคคลากรของสังคมที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนหนึ่งของเราๆท่านๆและระบบนี่แหละ ผมเจออาจารย์มันส์ๆ ฮาๆ(แต่น่าเศร้า)หลายแบบ เช่น

  • แบบสอนไปเรื่อยๆเพราะลูกศิษย์หรือคนอื่นเรียกว่าอาจารย์ ไม่เคยค้นคว้าเพิ่มเติม ไม่เคยดูโลกภายนอกว่าอะไรมาและผ่านไปแล้ว ขี้เกียจอ่าน text ไม่อยากอ่านเปเปอร์
  • แบบอ่านหรือลอกหนังสือมาสอนเพราะไม่เคยสอนวิชานี้ ทำเฉลยหรือทำความเข้าใจทีต้องซื้อหนังสือเฉลยมาดู
  • แบบวิ่งสอนตามที่ต่างๆ จนต้นสังกัดไม่เคยเจอตัว ก็สอนภายในคณะฯไม่ได้ตังค์ สอนที่อื่นเงินดีนี่ครับ
  • แบบ10ปีก็ขอสอนวิชานี้เท่านั้นอย่ามาแย่ง (เพราะขี้เกียจเตรียม) ส่วนใหญ่จะไม่เกิดกับวิชาจำพวกน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง หรือวิชาพื้นฐานที่ใครก็สอนได้
  • แบบดูถูกเด็กทุกคนว่าฉลาดไม่เท่าตัว ไม่เคยรู้ว่าบางครั้ง(หลายครั้ง)เด็ก (โดยเฉพาะปริญญาโทและเอก) เก่งกว่าตัวเองอีก เพราะเด็กเค้าทำงานมาหลายปีก่อนมาเรียน โถ ท่านเรียนรวดเดียวตรีโทเอกไม่เค๊ยไม่เคยทำงานจะไปรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ theory กับ application มันต่างกันอย่างไร หรือไอ้ที่ท่านเรียนถึงเอกมา(เคยรู้ว่า)มันสู้ภูมิปัญญาชาวบ้านได้หรือไม่
  • แบบแย่งกันสอนเฉพาะวิชาที่ค่าสอนแพง(แต่ปากบอกว่า ก็แล้วแต่มหาวิทยาลัยจัดให้ตามสมควร แต่ตางี้มองกันเป็นมันถ้าเวลามีวิชาไหนว่างเนื่องจากผู้สอนเดิมเลิกสอนหรือถอนตัว)
  • แบบเอาแต่รับงานนอก ทำงานพิเศษ พูดข้างนอก รับจ้างทำวิจัย วิเคราะห์ ที่ปรึกษา ทั้งที่งานผ่าน(โดนหักค่าต๋ง)หรือไม่ผ่านมหาลัยฯ(รับเนื้อๆและไม่บอกใคร) เพราะได้ตังค์ดีและได้กล่องง่าย แต่สอนในมหาลัยฯตัวเองหรือเวลาปกติแล้วไม่ได้ตังค์เยอะและไม่มีกล่องนอกจากนับโหลดหรือชั่วโมงทำงานของตัวเองได้ (อย่าเอ็ดไป พูดให้ดูดี ในวงการเค้าเรียกหน้าที่นี้ว่า บริการสังคม)
  • แบบได้แต่สอน อธิบายไม่ได้ เฉลยข้อสอบไม่ได้ (มันคงยากมากจนน่ากลัว) เคยได้ยินหรือไม่ครับอาจารย์ถูกขอให้เฉลยคำตอบบนไวท์บอร์ด (เหมือน สส ถูกซักถามให้ตอบกระทู้สดในสภา)และทำอะไรไม่ถูกนอกจากปาดเหงื่อ

อาจารย์แบบที่ดีๆจริงๆน่าเคารพ(รัก) น่าเอาเป็นตัวอย่างก็หลายคนครับ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีอาจารย์ในดวงใจอยู่แล้ว ที่รจนาให้เห็นก็ไม่ใช่อยากจะเอาเพื่อนร่วมวิชาชีพมาแฉ แต่แค่เอาเรื่องจริงที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้พูดมาเล่า (ประมาณรู้ว่ามีอยู่แต่ เหมือนนโยบาย Don't Ask, Don't Tell เรื่องข้อเท็จจริงของทหารที่เป็นเกย์ที่มีอยู่มากมายในกองทัพสหรัฐ) ผมผ่านและได้ยินมาก็มาก ตัวเองก็ทราบว่าไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์หรือเก่งที่สุด ผมยังต้องปรับตัวอยู่เสมอ เรื่องการศึกษาไทยต้องร่วมด้วยช่วยกันนะครับ

No comments:

Post a Comment