Wednesday 25 November 2009

ลมหายใจของความพ่ายแพ้




ผมเป็นคนชอบดูหนัง วันก่อนได้ดูหนังเก่าๆเรื่องหนึ่ง เป็นหนังเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอลครับ ถึงผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่เลือกนักแสดงได้แบบไม่ถูกที่ถูกทางเรื่องหนึ่ง เพราะดันเอา คีอานู รีฟ มาเล่นเป็นควอเตอร์แบ็ค แต่ก็เป็นหนังกีฬาแบบ..ผู้ช๊าย..ผู้ชาย ที่ให้ให้มุมคิดที่คมกริบหลายมุม เช่นเมื่อ ยีน แฮ็กแมน ที่แสดงเป็นผู้จัดการทีมออกมาถามเพื่อให้สติอดีตควอเตอร์แบ็คตัวจริง ที่กลับมาเล่นให้ทีมในแบบไร้วิญญาณว่า “คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่นักกีฬาทุกคนต้องการและอยากได้เหมือนๆกัน คืออะไร..”

“second chance”

...

พ่ายแพ้หรือชัยชนะบางครั้งต่างกันแค่ “ลมหายใจ” แต่ไปทำให้ “ห่างไกลเหลือเกิน”
...

ในโลกธุรกิจ เมื่อกำไรขาดทุนเป็นกติกา แต่สำหรับนักกีฬา คะแนนที่สูงกว่า ย่อมเป็นตัวตัดสิน

สำหรับผู้แพ้หลายคน ความพ่ายแพ้ เป็นโอกาสอีกครั้งของความพยายาม

เศรษฐีไอเอ็มเอฟคนหนึ่ง ต้องมานั่งเศร้า เมื่อทราบว่าการลดค่าเงินทำให้ตัวเองเป็นหนี้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านจากค่าเงินที่ลดลง เริ่มทำงานแบบเบื่อๆอยากๆ กินไม่ได้นอนไม่หลับ บ่น ปรับทุกกับเพื่อนๆที่ทำธุรกิจ ว่ารู้สึกว่าตัวเอง “แพ้” หมดกำลังใจ เพื่อนแสนดีหัวเราะและบอกว่า เออจริง ตัวเองก็โดนเหมือนกัน ทั้งเป็นหนี้นับสิบล้าน แต่งานก็ไม่ได้ทำเพราะโรงงานโดนยึด แต่ “ดีใจ” ได้เริ่มต้นใหม่ซักที

ได้ฟังแบบนี้ลมหายใจจากความพ่ายแพ้ของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นกลิ่นของ “โอกาส” ชวนให้หวนหา “ชัยชนะ”

ก็เมื่อของเราถึงหนี้จะเยอะ แต่ยังมีงานให้ทำ โรงงาน ห้างร้านยังไม่ถึงกับโดนยึด (แบงค์คงไม่อยากปล่อยให้ล้มง่ายๆ) เพื่อนคนอื่นเหมือนจะชนะ แต่มีกลิ่นความพ่ายแพ้มากกว่าเราตั้งเยอะ (และเค้าก็ยังอยากเริ่มต้นใหม่)

...

สำหรับผู้ชนะบางคน ชนะแล้ว เป็นเรื่องของที่สุดของความพยายาม

ใครๆก็รู้ว่า แบรนด์ไหน หรือใคร เป็นเจ้าชาเขียว ทำตลาดมานาน จนยอดขายกว่า 80%ของชาเขียวที่ขายในประเทศดันลดลงเป็น 70%.. 60% และไม่ถึง 50% ปล่อยให้ผู้ที่เคยแพ้หรือหน้าใหม่ในตลาดชาเขียวมองปัญหาใหม่ จากจุดอ่อนที่เคยสู้ไม่ได้ของทั้งตัวแบรนด์เอง จากแพ็กเกจจิ้ง หรือจากช่องทางจัดจำหน่าย เปลี่ยนเป็นการมองหาจุดแข็งที่รสชาติซึ่งใครๆก็ปรุงได้ เดี๋ยวนี้ไปดูแถวทองหล่อ อาร์ซีเอสิครับ ชาเขียวยีห้ออะไร ขายดีถล่มทลายขนาดไหน (เขาเอาไปผสม “Black”)

ปล่อยให้เป็นแบบนี้ วันหนึ่งยอดขายที่เคยสูง อาจเป็นแค่ที่สุดของความพยายามแบบ “เหมือนเคย”



เมือโลกถูกกำหนดด้วยกฏเกณฑ์กติกา

ถึงจะชนะ ก็ต้องเข้าใจว่าการแข่งขันอาจยังไม่จบ แต่แพ้แล้วก็ต้องเคารพ รู้จักการยอมรับ

ไม่ใช่ยอมรับในความพ่ายแพ้ แต่ยอมรับกับความตื่นแต้นของ “โอกาส” ที่มาอีกครั้ง (second chance) เพื่อที่จะลุ้นให้กลับมาชนะ

เพราะไม่ว่า “ชนะหรือแพ้” มันก็ห่างกันแค่ “ลมหายใจ”

และไม่ว่าเจออะไร ก็หวนให้ “คิดถึง” อีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ

1 comment:

phatrasamon said...

ขอบคุณอาจารย์ดร กุลเดช สำหรับบทความเสริมสร้างกำลัง

ใจดีๆ และ theme ที่ประทับใจ “ชนะหรือแพ้” ก็ห่างกันแค่

“ลมหายใจ” งานนี้ดิฉันมั่นใจใครอ่านจบ “ฮึกเหิม” อีกแน่นอน

ค่ะ


---

ในเมื่อชนะหรือแพ้ ก็ห่างกันแค่ “ลมหายใจ” จึงแน่นอน

ที่ “ผู้ชนะย่อมมีสิทธิ์แพ้” และ “ผู้แพ้ก็ย่อมมีสิทธิ์ชนะ”

ได้ “ตลอดเวลา” สำคัญที่สุดหากไม่เคยแพ้.... เราจะรู้จักชัย

ชนะได้อย่างไร??


*ต่อเมื่อกฎของธรรมชาติคือ “การเปลี่ยนแปลง” จึงเป็น

เรื่องปกติของชีวิตที่ความสุขมักผสมอยู่ด้วยกับความทุกข์

และเสียงหัวเราะก็มักปนไปด้วยความหวั่นไหว คาดไม่ถึงว่า

กำลังจะเกิดอะไรขึ้น.....



**และจากการที่ใครๆ ก็ “เปลี่ยนแปลง” หรือ “ฝืน”

”ธรรมชาติ” ไม่ได้ ดิฉันจึงอยากฝากถึงท่านที่กำลังถดถอย

เหนื่อยล้า อย่าเพิ่งหมดกำลังใจค่ะ :) ....แม้วันนี้คุณจะกำลัง

แพ้ แต่จงเป็นผู้แพ้ที่เตรียมพร้อมที่จะชนะได้ตลอดเวลา...


...ลองอีกครั้งค่ะ!! อีกแค่ “ลมหายใจ”


Cheer up!

Post a Comment