ผมชอบประโยคหนึ่งของ Albert Einstein ที่เคยบอกไว้ว่า "Imagination is more important than knowledge" หรือ "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
ขนาดนักฟิสิกส์ที่ต้องมีกฏและทฤษฏีเป็นพื้นฐานความคิดและการทำงาน ยังกล้าพูดแบบนี้
เห็นภาพครับ เห็นภาพ
...
เวลาไปต่างไปประเทศ ผมชอบไปพักโรงแรมเก๋ๆ ออกแบบแปลกๆ หนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Design Hotels คราวนี้ไปไปที่ STRAF, Milan
มีทั่วโลกหลายร้อยแห่งครับ แต่ละโรงแรมมีเจ้าของอิสระไม่ขึ้นกับใคร บริหารกันเองหรือจ้างมืออาชีพมาบริหาร การตัวเองเรียกว่า Design Hotels เป็นเพียงอัตลักษณ์ของกลุ่มสมาชิกโรงแรมแต่ละโรงแรมเท่านั้น
เรื่องดีไซน์ของแต่ละแห่งไม่ต้องห่วง จะสวยเปรี้ยวจี๊ดหรือขรึมเข้มโมเดิร์น ชิลเอ้าท์หรือชิลอิน บ้างก็ว่ามีภาพสะท้อนของวัฒนธรรมท้องถิ่นบรรยายออกมาด้วยวัสดุหรือองค์ประกอบอะไรก็ว่ากันไปแล้วแต่พรรณนา
เค้าให้มารวมอยู่ในกลุ่มก็น่าจะการันตีว่า "ดีไซน์จ๋า" ลูกค้าเยอะอยู่แล้ว
พอเวลาไม่กี่ปี ผ่านไปมันไม่ใช่อย่างงั้นสิครับ
มีเกิดก็ต้องมีดับ ฉันใดฉันนั้น
"ดีไซน์จ๋า" กันมากๆ มันก็ชัก "เฝอ" คนเบื่อ
สมาชิกโรงแรมเพิ่มขึ้น
แต่ดีไซน์ซ้ำไปซ้ำมา ดูไปทางโน้นก็ เอ๊ะคล้ายกับอันนี้
(ไม่พูดถึงบางโรมแรมใน สิงคโปร์กับนิวซีแลนด์ที่แย่มาก ไม่รู้เรียกตัวเองว่า Design Hotelsได้อย่างไร) แนวการคุมschemeโรงแรมในกลุ่ม ช่วงหลังๆ อะไรๆก็ "Lifestyle" อะไรๆก็ "โมเดิร์น" (ฟังดู คุ้นๆมั้ยครับ)
Design Hotels เลย "มองหา"ตัวเองใหม่ เอากันง่ายๆ ไม่ต้อง "มองหา"ที่ไหนไกล
เป็น concept ที่เรียกว่า "Made by Originals" ที่กำลังเป็นที่ฮือฮา
"Made by Originals" แทนที่จะ Focus ไปที่ ตัว architecture และ design กลับเสนอมุมมองที่เห็นตัวตนของ ผู้ออกแบบ ผู้คิด ผู้ทำ มากขั้น งานออกแบบของ Design Hotels ที่กำลังปรับเปลี่ยนลุคตัวอย่างรุนแรงจึงจะออกมาในแนว สื่อถึง "อารมณ์" human approach ที่ไปสู่สิ่งๆต่างๆที่สัมผัสได้และ
มอง "ภาพ"ของผู้ที่มีส่วนร่วมในงานออกแบบหรือคนที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมนั้นๆโดยสื่อออกมาอย่างชัดเจนทั้งรูป กราฟฟิก ข้าวของเครื่องใช้ Treatment ต่างๆบนประตู ผนัง พื้นหรือฝ้า
เอากันง่ายๆ..
แทนที่จะมองทั้งภาพ "Lifestyle" แต่เปลี่ยนโดยเริ่มมองที่ "Life" แล้วค่อยหันหลังมาหา "Style"
แทนที่จะมองภาพ "งานดีไซน์" แต่หันกลับไปมอง "เบื้องหลัง" ของผู้ทำ "งานดีไซน์"
แทนที่จะมองหา "ที่มาที่ไป" ของแนวคิดจากสิ่งรอบตัว แต่หันมาสร้าง "สตอรี่" ของสิ่งที่อยู่ในตัวตน
...
เด็กนักเรียนคนหนึ่ง คุณครูให้ยื่นแขนออกมา ชูมือขึ้นตรงหน้า แล้วชูนิ้วขึ้นมา สองนิ้ว
คุณครูถามว่า "เธอว่า ตรงหน้าเธอมีนิ้วกี่นิ้ว"
"สองครับ"
คุณครูขยับแขนของเด็กคนนั้นเข้าไปเกือบชิดหน้าเด็ก แล้วถามอีกครั้งหนึ่ง
"คราวนี้ มีกี่นิ้ว"
"...เอ่อ..สาม หรือสี่มั้งครับ"
...
คนส่วนใหญ่ที่ถูกฝึกมาให้เดินตามกรอบของ "ความรู้" และ "จินตนาการ" เพื่อให้ตอบโจทย์ที่สำคัญว่า "ความเป็นจริง" คืออะไร
จริงๆแล้วคำตอบของ "ความเป็นจริง" ก็อาจอยู่ตรงนั้นแหละครับ
แค่ลองขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด หรือหันหลังกลับไปมองอีกหน่อย
คำตอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ระหว่าง "ความรู้" และ "จินตนาการ"
No comments:
Post a Comment